ดูหนังออนไลน์ เต็มเรื่อง หนังใหม่อัพเดททุกวัน ฟรี HD ชัด

ดูหนังออนไลน์ moviehd24 หนังใหม่HD ดูหนังเต็มเรื่อง2024 ซีรี่ย์ออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี

google search

What If Season 1 (2021) EP.1-9 (จบ)

ปีที่ฉาย : 2021
เสียง : พากย์ไทย
Episode : 1- 9
imdb 7
ความคมชัด : HD
What If Season 1 (2021) EP.1-9 (จบ)

ดูหนังออนไลน์ What If Season 1 (2021) EP.1-9 (จบ)

เรื่องย่อ : What If Season 1 (2021) EP.1-9 (จบ) ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD

เรื่องย่อ What If Season 1 (2021)

What If Season 1

ซีซั่นนี้ยังคงสำรวจจักรวาลอันกว้างใหญ่นำเสนอตัวละครใหม่และคุ้นเคยจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ผ่านการบิดเบือนช่วงเวลาและสถานการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ Watcher จะแนะนำผู้ชมผ่านความเป็นจริงเหล่านี้ ดูหนังออนไลน์  โดยแต่ละรายการจะนำเสนอสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้หากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับไทม์ไลน์ที่ MCU กำหนดไว้แตกต่างออกไป เป็นการพูดถึงเรื่องราวของ พระหุจักรวาล ถ้าหากซีซั่นที่ 2 The Watcher

ที่พวกเขาจะทำท่านผู้ชมไปรู้จักการเดินทางผ่านจักรวาล MCU  What If Season 1 (2021) ที่แสนกว้างใหญ่ เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นจริงอีก 9 ประการในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ซึ่งแต่ละเรื่องอิงจากช่วงเวลาสำคัญในไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไป The Watcher ผู้มีอำนาจทุกอย่างที่พากย์เสียงโดย Jeffrey Wright บรรยายและสังเกตความเป็นจริงที่แตกต่างกันเหล่านี้ โดยแต่ละคนถามคำถามที่มียศศักดิ์

ผู้กำกับ

  • Bryan Andrews
  • Stephan Franck

บริษัท ค่ายหนัง

  • Marvel Studios

นักแสดง

  • Jeffrey Wright
  • Terri Douglas
  • Matthew Wood
  • Robin Atkin Downes
  • Fred Tatasciore
  • Mick Wingert

รีวิว What If Season 1

Anurag-Shetty

⭐ ให้ 9/10 คะแนน

What If Season 1 จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…? บอกเล่าเรื่องราวของภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe หลายเรื่อง แต่ด้วยการหักมุมที่สำคัญ 1 เรื่องในเรื่องราวที่จะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตามมา ทำให้แฟนๆ พบกับการผจญภัยแบบแอนิเมชั่นใหม่ล่าสุดกับฮีโร่ Marvel ที่พวกเขาชื่นชอบ

แอนิเมชั่นไม่มีที่ติ ฉากแอ็กชันนั้นสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างน่าทึ่ง อารมณ์ขันนั้นตรงประเด็น เช่นเดียวกับในทุกโปรเจ็กต์ของ Marvel Cinematic Universe มีช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์ลึกซึ้งหลายประการที่จะทำให้คุณน้ำตาไหล เจฟฟรีย์ ไรท์  What If Season 1 (2021) รับบท The Watcher ได้สมบูรณ์แบบ การแสดงเสียงโดยผู้คนที่มาแทนที่นักแสดงใน Marvel Cinematic Universe ที่ไม่สามารถแสดงบทบาทของตนได้นั้นน่าทึ่งมาก และพวกเขาเลียนแบบเสียงและสำเนียงของนักแสดงต้นฉบับได้อย่างง่ายดาย

ตอนที่ 1, 10/7: จะเกิดอะไรขึ้นถ้า… กัปตันคาร์เตอร์เป็นผู้ล้างแค้นคนแรก? เป็นเพียงการปรับปรุงใหม่ของ Captain America: The First Avenger (2011) โดยเพียงแค่แทนที่ Steve Rogers (Josh Keaton) ด้วย Peggy Carter (Hayley Atwell) เรื่องราวต้นกำเนิดของ Captain America ในปี 2011

เป็นภาพยนตร์เรื่องโปรดของฉันน้อยที่สุดในไตรภาค

Captain America นักเขียน AJ Finn และ AC Bradley ไม่ได้ทำอะไรเลยในการแก้ไขเรื่องนั้น พวกเขาแค่คัดลอกและวางภาพยนตร์ทั้งเรื่อง แต่ Captain America: The First Avenger (2011) นั้นเหนือกว่าตอนนี้ Hayley Atwell แสดงเป็น Peggy Carter/กัปตัน Carter ได้อย่างน่าทึ่ง และเป็นไฮไลต์ของตอนนี้

ตอนที่ 2, 8/10: จะเกิดอะไรขึ้นถ้า… What If Season 1 (2021)  ทีชาล่ากลายเป็นสตาร์ลอร์ด? เกินกว่าตอนแรกของรายการ แชดวิก โบสแมนทำให้เราได้เห็นภาพทีชาล่า/สตาร์-ลอร์ดที่น่าอัศจรรย์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อเปรียบเทียบกับบทบาทของเขาในทีชาล่า/แบล็ค แพนเธอร์ มีอารมณ์ขันและช่วงเวลาที่จริงใจในตอนนี้ การหักมุมของธานอส (จอช โบรลิน) ไม่ได้ผลสำหรับฉัน คาเรน กิลแลน และไมเคิล รูเกอร์ โดดเด่นในฐานะเนบิวลา และยอนดู ตามลำดับ

UniqueParticle

⭐ ให้ 9/10 คะแนน

ฉันแทบจะไม่ได้ใช้ Disney plus แต่บางครั้งก็คุ้มค่าแน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นถ้า…? งดงามมากด้วยสีสันที่สวยงาม ความเป็นไปได้อันยอดเยี่ยม และการมองหาความสุขในชีวิต! ฉันชอบเสียงพากย์มากและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจักรวาล Marvel ก็คุ้มค่า ฉันพอใจกับผลงานของ Emmy มากเพราะฉันเห็นคนจำนวนมากที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง IMDb ไม่ได้ใช้การกำหนดให้ต้องมีอักขระ 600 ตัวที่ดูน่าอึดอัดสำหรับฉัน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วฉันจะไม่รีวิวยาวๆ ดังนั้นฉันเดาว่าการหยุดนิ่งก็เป็นเรื่องปกติ มีตอนดีๆ มากมายให้เพลิดเพลินกับซีรีส์ เรื่องราวที่สมบูรณ์แบบพร้อมฉากแอ็คชั่นสุดอลังการ สิ่งที่ดีที่สุดคือนักแสดงจาก Marvel คนเดียวกันบางส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้!

Johnny-the-Film-Sentinel-2187

⭐ ให้ 4/10 คะแนน

โอเค ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะทำงานร่วมกับคำบรรยายเปิดของ The Watcher ทันที แต่มันก็สลายไปเป็นการตามใจตัวเองในนิยายแฟนตาซี เมื่อชุดสูท Iron-Man ของ Steve Roger ของ Steve Roger เข้ามามีบทบาท และบทสนทนาที่ยอดเยี่ยมนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวเดียวที่เหมาะ What If Season 1 (2021) สำหรับภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยล้อเลียนอย่าง Last Action Hero และย่อพล็อตเรื่องของ Captain America ให้เป็นตอนครึ่งชั่วโมงที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่งของเครือข่ายมากกว่าทางเลือกที่สร้างสรรค์

แม้ว่าฉันจะชื่นชมแนวคิดของรายการนี้ แต่ตอนแรกก็เป็นการเริ่มต้นที่หยาบผิดปกติ งานเขียนดำเนินไปอย่างเร่งรีบ ทำลายตัวละคร และโดยทั่วไปขาดความเสี่ยงในการสร้างสรรค์ นอกเหนือจากการเป็นจักรวาลคู่ขนานของเรื่องราวที่เราเคยเห็นมาแล้วในรูปแบบที่มีความยาวที่มีเนื้อหนังมากขึ้น

บางทีตอนต่อไปอาจมีการพัฒนาและสอดคล้องกันมากขึ้น เพราะอันแรกนี้… ไม่น่าประทับใจ นอกจากนี้ ฉันหวังว่าแอนิเมชั่นจะไม่ให้ความรู้สึกเหมือนยางและเป็นแอนิเมชั่น SpiderVerse (แอนิเมชั่นนั้นดีในบางครั้ง แต่มันก็ลื่นไหลและเบลอจากการเคลื่อนไหวเกินกว่าจะเทียบได้กับแอนิเมชั่นอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาพวาด และมันไม่เหมาะกับอัตราส่วน 2:35.1 อัตราส่วนภาพเลย) ฉันหวังว่าซีรีส์นี้จะพัฒนาต่อไปและพิสูจน์ความคุ้มค่าเมื่อตอนสุดท้ายออกอากาศ ตอนนี้ได้ 2/5 ดาวแล้ว

adlhaniyeh

⭐ ให้ 9/10 คะแนน

ฉันเพิ่งดูตอนที่ 3 และมาที่นี่เพื่อเขียนรีวิวของฉัน และฉันตกใจมากที่เห็นรีวิวเชิงลบเหล่านี้! มันไม่ใช่โปรเจ็กต์ MCU ที่ดีที่สุด แต่ฉันพบว่าเนื้อเรื่องบางส่วนน่าสนใจ ใช่มันอาจจะดีกว่านี้มากแน่นอน แต่ก็ไม่ได้แย่เท่ากับที่เขียนไว้ในรีวิว What If Season 1 (2021)  บางคนโกรธที่เพ็กกี้กลายเป็นกัปตันคาร์เตอร์ ซึ่งฉันพบว่ามันแปลกๆ มันเกิดขึ้นในอีกจักรวาลหนึ่งนะพวกคุณ! ซีรีส์นี้มีชื่อว่า What If!

แอนิเมชั่นและการแสดงเสียงน่าจะดีกว่านี้มาก เห็นได้ชัดว่าซีรีส์นี้จะมีผลกระทบต่อโปรเจ็กต์ MCU ในอนาคตด้วย ดังนั้น ให้โอกาสมันเถอะ! แก้ไข: บางตอนก็ดีจริงๆ ตอนของ Dr Strange น่าทึ่งมาก ตอนของ Thor เป็นเรื่องที่ระเบิดมาก

chrisheartofdavid

⭐ ให้ 6/10 คะแนน

What If Season 1 ตามชื่อของฉัน: ซีซั่น 1 มีข้อดีอยู่บ้าง ซีซั่น 2 แย่กว่ามาก หกดาวเป็นการพยักหน้าให้กับซีซั่น 1 ซึ่งทำงานได้ดีในการเชื่อมโยงเรื่องราวโดยรวมที่สอดคล้องกันและน่าสนใจ (ในที่สุด) โดยเฉพาะตอนของ Doctor Strange ทำได้ดีมาก

อย่างไรก็ตาม ซีซั่น 2 แย่กว่านั้นมาก – การเขียนได้แย่ โครงเรื่องที่น่าสนใจน้อยกว่ามาก และดังที่คนอื่น ๆ สังเกตเห็น เป็นเรื่องน่างุนงงกับกัปตันคาร์เตอร์มากมาย นี่คือสิ่งที่แฟนๆ โห่ร้องเพื่อสิ่งนี้จริงๆ หรือ? เมื่อถึงจุดหนึ่งในซีรีส์และภาพยนตร์ของ MCU What If Season 1 (2021)  มีคนต้องตระหนักว่าการที่ข้อความ ‘กฎของผู้หญิง!’ กลับมาบ้านอีกครั้ง ไม่เหมือนกับการเขียนบทที่ดีและมีโครงเรื่องที่ชาญฉลาดจริงๆ มีข้อยกเว้นที่น่าสังเกต: WandaVision, Loki เป็นหนึ่งในข้อเสนอที่แข็งแกร่ง แต่ส่วนใหญ่ รวมถึงซีซั่น 2 ของ What If นั้นค่อนข้างอ่อนแอ

TheTruthofItIs

⭐ ให้ 5/10 คะแนน

“What If” (S01, 9 ตอน, 1/2 ชม., Dis+) มีหลักฐานที่ดีจริงๆ อย่างไรก็ตาม วิธีดำเนินการในยุคของคอร์อาซีทางการเมืองและ “ฉันตื่นแล้ว” ทำให้คาดเดาได้มาก มันเหมือนกับว่าพวกเขาพยายามสร้างผู้หญิงและเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่ยูโรให้เป็นฮีโร่ What If แต่มันก็ดูน่าเกรงขามมากกว่าน่าสนใจ และทั้งหมดนี้ก็สมบูรณ์แบบ สะอาดดุจสารฟอกขาว

มันเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อในแบบที่เราทุกคนเกลียดภาคก่อนของ Star Wars ด้วยเหตุนี้ After School จึงมีความพิเศษมากกว่าการเล่าเรื่องที่เข้มข้น อย่างจริงจัง ด้วยวัสดุที่มีในการกำจัด นี่อาจเป็นชุดการผจญภัยที่ยอดเยี่ยมแทนที่จะเป็นตู้เซฟ PG ค่าโดยสารส่วนใหญ่ทำให้เราเบื่อ จะเป็นอย่างไรถ้าซีรีส์นี้สร้างสำหรับผู้ใหญ่โดยผู้ใหญ่ที่จ่ายค่าสมัครสมาชิกสำหรับบริการเหล่านี้ล่ะ! นั่นเป็นข้อสมมุติฐาน What If ที่พวกเราส่วนใหญ่อาจล้าหลังได้

รีวิว What If…?

เรื่องย่อ
What If…? เป็นซีรีส์แอนิเมชั่นเรื่องแรกจาก Marvel Studios จำนวนทั้งหมด 9 ตอน ที่หยิบเรื่องราวในจักรวาลภาพยนตร์ MCU มาจินตนาการตีความใหม่ว่าหากมีเหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนแปลง เนื้อเรื่องจะออกมาเป็นอย่างไร และส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไร

รีวิว
What If…? เป็นแอนิเมชั่นที่ทำออกมาเพื่อเอาใจแฟนคลับเป็นหลัก แต่บางตอนก็สะท้อนให้เราได้เห็นว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปเพียงเล็กน้อยในตักรวาลจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับเรื่องราวที่ตามมาในอนาคตได้อย่างไรบ้าง ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นอนิเมชั่นซีรีส์ที่มีแนวคิดอันชาญฉลาดเป็นอย่างมากเพราะมันสามารถแตกแขนงเรื่องราวออกไปได้แบบไม่มีที่สิ้นสุดและมันก็มีความแปลกใหม่ให้เรารู้สึกอยากจะรับชมว่าเรื่องราวหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับใครที่เคยรับชมภาพยนตร์และซีรีส์จักรวาลมาร์เวลมาก่อนเราขอแนะนำให้คุณรับชมอย่างแน่นอนเพราะมันจะช่วยให้คุณเข้าถึงเรื่องราวใน Marvel มากยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคือการเล่าเรื่องราวจบในตอน ทำให้ความยาวค่อนข้างจำกัดและเรื่องราวก็มักจะถูกเหล้าอย่างรวดเร็วฉับไวมากจนเกินไปสักหน่อย

GeekMovies

ตอนที่ 1 What If… Captain Carter Were The First Avenger?

สมมุติว่ากัปตันคาร์เตอร์คืออเวนเจอร์คนแรก โดยจะเล่าเรื่องราวว่าถ้าหากกัปตันอเมริกานั้นไม่ใช่สตีฟ โรเจอร์ แต่เป็นคาร์เตอร์แทน โลกใบนี้จะเป็นอย่างไรเมื่อซุปเปอร์ฮีโร่คนแรกของอเมริกานั้นเป็นผู้หญิง บทบาทของตัวละครที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการที่เพ็กกี้กลายเป็นกัปตัน คาร์เตอร์ ทำให้สตีฟ โรเจอร์ส กลายเป็นหุ่นสังหารไฮดร้า และบัคกี้กลายเป็นทหารธรรมดาที่ไม่ได้หายสาปสูญในการต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างอเมริกาและเยอรมันที่นำโดยไฮดร้า และมันจะนำพามาซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกระทบต่อเส้นเรื่องทั้งหมด

ตอนแรกนี้ได้นำเสนอบทบาทของตัวละครที่ถูกตีความใหม่แต่ยังอยู่ในสถานการณ์คล้ายกับ Captain America: The First Avenger นอกจากนี้ประเด็นของสิทธิสตรีและคนชายขอบถูกหยิบนำมาขยายมากขึ้น ทั้งตัวละครเพ็กกี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับอคติของบุรุษที่มองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอไม่ควรเป็นทหาร หรือ เรื่องที่สตีฟกลายเป็นแค่คนขับชุดหุ่นไม่มีความเป็นฮีโร่ ซึ่งให้มุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมแบบที่ไม่เคยมีในฉบับภาพยนตร์ แต่ตอนนี้ถูกบีบอัดเนื้อหาให้ทันเวลาจนผู้ชมยังไม่อินกับเรื่องราวมากพอสักเท่าไหร่

ตอนที่ 2 What If… T’Challa Became a Star-Lord?

สมมุติว่าทีชาล่ากลายเป็นสตาร์ลอร์ด โดยจะเล่าถึงเรื่องราวหาดสตาร์ลอร์ด ไม่ใช่ ปีเตอร์ ควิลล์ แต่เป็น ทีชาล่า รัชทายาทของกษัตริย์แห่งวากานด้าที่อยากออกไปสำรวจโลกกว้าง แต่กลับถูกดึงไปสู่อวกาศจากความผิดพลาดของยอนดู ทีมราเวนเจอร์ ที่สั่งให้ลูกน้องออกปฏิบัติการลักพาตัวเขา และผ 20 ปีต่อมา ทีชาล่าก็กลายเป็น สตาร์ลอร์ด วีรบุรุษจักรวาลที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงอันเลวร้ายของเส้นเวลาศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นอีกแบบ แต่ทว่า เนบิวล่ากลับยื่นข้อเสนอให้ทีมทำภารกิจสุดอันตรายที่จะนำพาเขาไปสู่ความจริงอันเจ็บปวด และการยอมรับตัวตนที่แท้จริงมากกว่าที่ทีชาล่าจะเคยล่วงรู้

โครงเรื่องช่วงแรกอาจจะดูคล้าย Guardians of the Galaxy แต่เนื้อเรื่องแท้จริงกลับเป็นจินตนาการและเรื่องราวใหม่ทั้งหมดที่ทางผู้สร้างและผู้เขียนบทสามารถรังสรรค์ได้อย่างอิสระมากกว่าตอนอื่น ๆ แถมยังมี Easter Eggs มากมายที่คนติดตามมาร์เวลจะต้องชอบ พล็อตเรื่องทำออกมาได้สนุกและตื่นเต้น แต่ด้วยคาร์แร็คเตอร์ของทีชาล่าที่มีแค่ปมเกี่ยวกับอดีตที่เกิดจากเรื่องราวที่ผิดพลาด มันเลยทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่ไม่ค่อยมีอะไรให้ติดตามหรือสนใจเกี่ยวกับผลของจักรวาลมากนัก แถมด้วยความยาวที่สั้น เลยทำให้ตอนนี้ดูจืดไปกว่าตอนที่แล้วอีก

ตอนที่ 3 What If… the World Lost Its Mightiest Heroes?

สมมุติว่าโลกนี้สูญเสียเหล่าฮีโร่ จะเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อว่าที่สมาชิกของทีมอเวนเจอร์ที่นำโดย นิค ฟิวรี่ อย่าง โทนี่ สตาร์ก และ ธอร์ ถูกฆาตกรรมทีละคน คนที่ต้องรับบทหนักในเรื่องนี้คือนาตาชาหรือแบล็ควิโดว์ที่จะต้องพยายามตามหาตัวฆาตกรให้สำเร็จก่อนที่โลกใบนี้จะถูกยึดครอง โดยร่วมกับ ฮอวก์อายที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ และ บรูซ แบนเนอร์จึงต้องหาทางเปิดโปงแผนการร้ายที่หวังทำลายหน่วยชิลด์และโลกให้สิ้นซาก ท่ามกลางการตามล่าจากคนทั้งโลก แบล็ค วิโดว์ได้พบกับสถานการณ์ที่บีบบังคับให้เธอต้องแลกทุกอย่างเพื่อความจริง แม้ว่ามันอาจจะนำมาซึ่งผลพวงที่คาดไม่ถึงก็ตาม

ตอนนี้จะเป็นการหยิบนำฉากสำคัญของภาพยนตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ MCU อย่าง The Incredible Hulk, Iron Man 2, Thor มาตีความใหม่ให้เป็นแนวลึกลับฆาตกรรม มีการเล่าถึงมุมมองตัวละครที่บทบาทถูกเปลี่ยนใหม่ให้น่าสนใจขึ้น ตัวละครหลายตัวใน MCU ที่อาจจะไม่เคยมีบทมาก่อนในต้นฉบับ ก็ได้มีบทบาทสำคัญของเรื่อง พล็อตเรื่องอาจจะไม่มีอะไรมากนอกจากการตามล่าหาฆาตกรกับเห็นฮีโร่ที่มีบทบาทในจักรวาล แม้บทสรุปของเรื่องจะง่ายดายไปหน่อย แต่ก็ยังทิ้งท้ายไว้ขบคิดอย่างน่าสนใจ

ตอนที่ 4 What If… Doctor Strange Lost His Heart Instead of His Hands?

สมมุติว่าดอกเตอร์สเตรนจ์เสียหัวใจไม่ใช่มือ จะเล่าถึงเหตุการณ์หากสตีเฟ่น สเตรนจ์ หมอหนุ่มอนาคตใกล้ที่ในอีกจักรวาลนี้เขาเป็นคนรักของ คริสตีน และสูญเสียเธอจากอุบัติเหตุไป เธอผู้เป็นดั่งดวงใจได้ผลักดันให้เขาออกตามหาคำตอบและฝึกฝนจนกลายเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ในวันครบรอบในวันที่คริสตีนเสียชีวิต สตีเฟ่นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต แม้จะได้รับคำเตือนจากคนรอบตัว แต่ดูเหมือนว่าหัวใจที่แสนเจ็บปวดและอ้างว้างผลักดันให้สตีเฟ่นได้พบกับความลับของจักรวาลที่มนุษย์คนหนึ่งไม่เคยหยั่งถึง และเมื่อเขาถลำลึกลงไปเขาอาจจะต้องเตรียมใจรับผลการกระทำที่มีต่อทั้งจักรวาลจากพลังที่เขาสร้างขึ้น

โครงเรื่องจะมาจากหนังเรื่อง Doctor Strange ที่อนิเมชั่นจะเล่าตัดสลับจนมาถึงในช่วงท้าย ก่อนจะปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องด้วยการตัดสินใจใหม่ของตัวละครให้ไปสุดกว่าเดิม เรียกได้ว่าอันตรายและน่าสะพรึงมากกว่าตอนก่อน ๆ ที่ผ่านมามาก ด้วยโทนเรื่องที่หม่นหมอง ดราม่า ที่เผยให้เห็นถึงผลกรทบหากตัดสินใจแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยไมสนใจผลที่ตามมา สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีอะไรที่ช่วยได้ และต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเอง ถือเป็นตอนที่ดีและเข้มข้นอีกหนึ่งตอน

ตอนที่ 5 What If… Zombies?!

สมมุติว่าจักรวาล MCU มีซอมบี้ เล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ บรูซ แบนเนอร์ ได้รับการช่วยเหลือให้กลับมาที่โลกจากตอน Infinity War แต่เขากลับพบว่ามันไม่ใช่โลกที่เขารู้จักอีกต่อไป เมื่อเหตุร้ายบางอย่างได้นำพาไวรัสที่สามารถทำลายสมองและเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นซอมบี้ บรูซจึงต้องร่วมมือกับฮีโร่ที่เหลือตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาจากผู้รอดชีวิตที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น สไปเดอร์แมน, แฮปปี้ โฮแกน, ชารอน คาร์เตอร์, โอโคเย่, โฮป และ บัคกี้ เพื่อหาทางเพื่อจะเอายารักษาและปลดปล่อยทุกคนจากเชื้อไวรัสเหล่านี้

บทบาทของตัวละครหลักหยิบมาจาก Avengers: Infinity War และ Ant-Man and tge Wasp ที่นำมาเพิ่มเสริมเติมแต่งพล็อตให้จักรวาลที่ตัวละครมาร์เวลกลายมาเป็นซอมบี้ ซึ่งตัวเรื่องก็ไม่มีอะไรใหม่ เป็นการหยิบเอาประกอบต่าง ๆ ของหนังซอมบี้มาใช้ใหม่ผสมกับความเป็นมาร์เวล ถือเป็นตอนที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากสักเท่าไหร่

ตอนที่ 6 What if Killmonger Rescued Tony Stark?

สมมุติว่าคิลมังเกอร์ช่วยโทนีสตาร์ก ว่าด้วยเหตุการณ์หาก คิลมังเกอร์ ปรากฏตัวมาช่วยเหลือโทนี่ไว้ ในเหตุการณ์ที่อัฟกานิสถาน ทำให้โทนี่ไม่ต้องเป็นไอรอนแมนและเขาก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ก็เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นระหว่างการทำภารกิจและผลักดันให้สตาร์กต้องผลิตอาวุธขั้นสุดยอดอย่าง โดรน ไวเบรเนี่ยม แต่ทว่ามันจะทำให้โทนี่และบริษัทต้องเข้าไปพัวพันกับพ่อค้าอาวุธมืด และปริศนาของเมืองวากานด้าที่สาปสูญในแผนที่โลก ด้วยความช่วยเหลือจากคิลมังเกอร์ทำให้โทนี่มีอำนาจมากกว่าเดิม แผนการอันแยบยลที่ซุกซ่อนความชั่วร้ายกำลังจะสั่นคลอนทั้งโลก

เรื่อราวตอนนี้หยิบนำภาพยนตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นจักรวาล MCU อย่าง Ironman มาตีควาทใหม่ที่เริ่มเรื่องด้วยโศกนาฏกรรมและแผนการร้ายของคัวละครที่เกินคาดเดา แถมยังเติมแต่งด้วยรสชาติของการจิกกัดอเมริกาและประเทศมหาอำนาจนิยม สงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจ กับประเทศลึกลับที่แยกชิงอำนาจ แนวคิดการปกครองโดยทหารที่มีมาในภาพยนตร์ Black Panther มาตีความอย่างสุดขั้วให้ตัวละครอย่างโทนี่และทีชาล่ามีความสดใหม่ ในเวลาเดียวกันก็แฝงความสัมพันธ์ที่ไม่เคยมีในฉบับภาพยนตร์เข้ามา แต่ด้วยบทสรุปที่ตัดจบแบบดื้อ ๆ ชวนหงุดหงิดสำหรับคนคาดหวังจะเห็นผลลัพธ์

ตอนที่ 7 What If… Thor Were an Only Child?

สมมุติว่าธอร์เป็นลูกคนเดียว เล่าเรื่องเมื่อธอร์เป็นลูกคนเดียวที่เติบโตในแอสการ์ดแทนที่จะเป็นลูกคนโตของโลกิ และกลายเป็นเทพแห่งการปาร์ตี้ที่ลงมาที่โลกร่วมกับเหล่ามนุษย์ต่างดาวจากทั่วจักรวาลเพื่อสนุกสุดเหวี่ยงแบบไม่แคร์โลกและผู้คน อีกทั้งยังพบรักกับเจน ฟอสเตอร์ และเพื่อนของเธอ ดาร์ซี่ที่รับหน้าที่ดักจับสัญญาณของเขาและคิดว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการทำลายล้างโลก ท่ามกลางความวุ่นวายต่าง ๆ ทำให้ชิลด์ที่นำโดย มาเรีย ฮิลล์ ตัดสินใจวางมาตรการในการจัดการธอร์ออกจากโลก โดยการเรียกกัปตันมาร์เวลมาช่วย

เป็นตอนที่ไม่มีแก่นสารสาระอะไรมาก ไม่มีปมอะไรดาร์ก ไม่มีความซับซ้อนของเรื่องราว แต่ก็มีความสนุกหรรษาที่จะได้รับ เหมือนในตอนนี้เป็นการผ่อนผู้ชมจากตอนก่อน ๆ ที่ดาร์กมาโดยตลอด มีความจะเป็นตอนที่แสดงถึงความเป็นไปได้ของจักรวาลหากตัวละครไม่ได้เป็นแบบในหนัง จะได้เห็นความวุ่นวายวายตลอดทั้งตอนผสมกับบุคลิกและบทบาทตัวละครที่มีบทบาทที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ และก็ยังทิ้งปมสุดพีคในตอนท้ายเอาไว้อีกด้วย สรุปคือดูเอาเบาสมองได้สนุกทีเดียว

ตอนที่ 8 What If… Ultron Won?

สมมุติว่าอัลตรอนชนะ ว่ายด้วยเหตุการณ์หากอัลตรอนสามารถรวมร่างวิชั่นและทำลายล้างโลกเพื่อสันติสำเร็จ และมนุษย์ที่เหลือรอดเหลือเพียงหยิบมือ นาตาชา (แบล็ควิโดว์) และ คลินท์ บาร์ตัน (ฮอวก์อาย) คือสองอเวนเจอร์สคนสุดท้ายที่เหลืออยู่และพยายามหาทางที่จะหยุดยั้งอัลตรอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าอัลตรอนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้เฝ้ามอง ในขณะที่นาตาชากับคลินท์ต้องหาทางที่จะสามารถจบเรื่องทุกอย่างให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวสมมุติจะไม่ได้เป็นแค่สมมุติอีกต่อไป เมื่อบุคคลผู้ทรงอนุภาพปรากฏตัว ก็ถึงคราวที่ผู้เฝ้ามองจะละทิ้งคำสาบานที่ให้ไว้ต่อสรรพสิ่งเพื่อปกป้องทุกความจริงก่อนจะสายไป

เป็นตอนที่หยิบนำภาพยนตร์ Avengers: Age of Ultron มาตีความพลังของอัลตรอนให้สุดทาง ผสมผสานเรื่องราวสเกลพหุจักรวาล กับภัยคุกคามครั้งยิ่งใหญ่ระดับทำลายล้าง บทสรุปของตอนนี้จะทิ้งค้างไปสู่บทสรุปสุดท้ายของซีซั่นที่น่าจะรวมทุกตัวละครที่มีบทบาททั้ง 8 ตอนให้มาสู้เพื่อพหุจักรวาล โดยรวมก็ถือเป็นตอนที่มีศักยภาพอาจจะไม่ดาร์กหม่นหมอง แต่ก็เล่าเรื่องได้ช่วยติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

ตอนที่ 9 What If… The Watcher Broke His Oath?

สมมุติว่าวอทเชอร์ละทิ้งคำสาบาน ว่าด้วยเมื่ออัลตรอนได้พังทลายทุกพหุจักรวาลหลังจากได้รับรู้การมีอยู่ของมัน รวมถึงอัลตรอนสามารถรวบรวมมณีอินฟินิตจากในจักรวาลมาได้ ผู้เฝ้ามองจึงต้องผิดคำสาบานเพื่อตามหาทีมพิทักษ์พหุจักรวาล ประกอบไปด้วย กัปตันคาร์เตอร์, ด็อกเตอร์สเตรนจ์, คิลมองเกอร์, ธอร์ และกาโมร่า รวมทีมกันเพื่อหาทางหยุดยั้งอัลตรอนให้ได้

เป็นตอนสุดท้ายที่มีไสตล์ Marvel แบบดั้งเดิม เป็นการรวมทีมเพื่อปราบวายร้ายที่มีเสกลพลังยิ่งใหญ่สามารถทำลายทั้งจักรวาลได้ โดยมีการนำตัวละครจากตอนด่อน ๆ เข้ามาเชื่อมโยงเรื่องราวและมีปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างจากฉบับภาพยนตร์ เวลาที่สั้นทำให้เราไม่ได้สำรวจอะไรมากนัก สิ่งที่ได้จากตอนนี้จึงเป็นการสาดพลังกันแบบอลังการ ไปจนถึงบทสรุปที่น่าประทับใจของทุกตัวละครในเรื่อง ถือเป็นตอนที่สนุกและตื่นตาตื่นใจที่สุด เป็นบทสรุปที่ทำให้ภาพรวมของเรื่องราวสมมุตินี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

งานสร้าง
แอนิเมชั่นมีความเป็นสไตล์หนังสือคอมิกส์ Marvel ที่ทำออกมาในแบบภาพ 3D ผสมกับ 2D มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งานภาพมีความเป็นสไตล์การ์ตูนอเมริกันที่ค่อนข้างจะมีความแข็งทื่อไม่น้อยเลยทีเดียว แต่การต่อสู้ก็ยังค่อลื่นไหลอยู่ เอฟเฟกต์พลังต่าง ๆ มีความอลังการ สีสันสวยงามตื่นตาตื่นใจ

สรุป

What If…? เป็นแอนิเมชั่นซีรีส์จาก Marvel ที่นำเรื่องราวในจัดรวาล MCU มาตีความใหม่แต่งเสริมเรื่องราวออกไปในอีกเส้นทาง ซึ่งมีประเด็นมุมมองที่แตกต่างจากภาพยนตร์โดยสิ้นเชิง แต่จุดด้อยหลัก ๆ คือการเล่าเรื่องที่รวบรัดตัดตอนจนเกินไป ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้ยังไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร การเล่าเรื่องแต่ละตอนจึงให้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ในด้านของงานภาพก็ทำออกมาได้ดีทีเดียว มีความสวยงามอลังการไม่น้อย หากเป็นแฟนหนัง Marvel ไม่ควรหลาดอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้เรื่องราวของ MCU ขยายออกไปอีกมาก

คะแนน 8 / 10

โปสเตอร์หนัง What If Season 1

What If Season 1 (2021)

What If Season 1 (2021)

What If Season 1 (2021)

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

What If Season 2 (2023)

Rick and Morty (2023) ริค แอนด์ มอร์ตี้ Seasons 7

My Dad the Bounty Hunter (2023) คุณพ่อฉันเป็นนักล่าค่าหัว Season 1 

My Dad the Bounty Hunter (2023) คุณพ่อฉันเป็นนักล่าค่าหัว Season 2

I Am Groot (2022) ไอแอมกรูท

เลือกตอน :
แสดงความคิดเห็น

ดูหนังออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี เรื่องอื่นๆ

ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่2024 moviehd24 ดูหนังเต็มเรื่อง หนังHD ดูหนังฟรีไม่กระตุก