เรื่องย่อ : Transformers 4 : Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4 : มหาวิบัติยุคสูญพันธ์ ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
[CR] ##REVIEW## Transformers: Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4: มหาวิบัติยุคสูญพันธ์ุ | เละเทะมาก [ไร้ส้มป่อย]
ดูเหมือนว่าภาคที่แล้ว Michael Bay แกออกมาบอกเองนะครับว่าจะกำกับภาคนั้นเป็นภาคสุดท้าย แต่ว่ารายได้ของภาคนั้นมันเกินหลักพันล้านครับ เราจึงเห็นภาคนี้ออกมา จะบอกว่าภาคนี้แถก็ได้นะครับ แต่ก็เป็นปกติของค่ายหนังแหละ ถ้าหนังถึงแม้คำวิจารณ์มันจะย่ำแย่จมดิน แต่ถ้ามันทำเงิน ยังไงซะภาคต่อก็ต้องถูกสร้างขึ้นมาอยู่ดีครับ หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เรื่องย่อ
หลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่ทำให้เมืองพังพินาศ แต่โลกก็อยู่รอดปลอดภัย ในขณะที่มนุษยชาติเริ่มฟื้นตัว ก็มีวายร้ายกลุ่มหนึ่งเผยตัวออกมาพยายามจะควบคุมกระแสประวัติศาสตร์… ขณะที่ศัตรูทรงพลังจากโบราณกาลก็ทำให้โลกต้องเผชิญหน้ากับหายนะอีกครั้ง
ด้วยความช่วยเหลือจากมนุษย์กลุ่มใหม่ (นำโดย มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ออพติมัส ไพรม์และเหล่าออโต้บอท ก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ในการผจญภัยที่เหลือเชื่อครั้งนี้ พวกเขาจะต้องต่อสู้ในสงครามระหว่างธรรมะและอธรรม ที่ท้ายที่สุดแล้ว ก็กลายเป็นมหึมาสงครามของโลก
หนังยังคงเป็นหนังหุ่นตีกันเหมือนเดิมครับ ความแปลกใหม่ในภาคนี้ค่อนข้างน้อย(ถึงน้อยมาก) แต่ปริมาณฉากแอคชั่นนี่จัดเต็มเท่าภาคที่แล้ว ยัดมาหมดทั้งระเบิด นิวเคลียร์ ปืนกล จรวด ฯลฯ ขนาดหุ่นมันยังเอาไดโนเสาร์มาเลยครับ และในภาคนี้เปลี่ยนตัวละครคนยกเซ็ตเลย ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าถ้าปูเรื่องมาดี หนังมีสิทธิ์เป็นหนังดีกู้เฟรนไชต์ได้เลยนะครับ เพราะประเด็นต่างๆ ในหนังนับว่าบรรเจิดเลยล่ะ ผมชอบประเด็นผู้สร้างมากครับ ว่าเราทุกคนย่อมมีผู้สร้าง และย่อมมีสักวันที่เจ้าของเราจ้องจะเรียกคืนความเป็นเจ้าของกลับ นั่นเป็นที่มาของพล็อตในภาคนี้ครับ อย่างที่ว่าครับถ้าเล่าเรื่องดี จับประเด็นมาเล่นได้น่าสนใจ หนังจะออกมาแหล่มในระดับนึงเลย แต่ถ้าพูดตรงๆ………. ผมว่าป๋า Bay แถไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่แฮะ
ในภาคนี้จงใจจะให้ตัวละครรองภาคเก่าตายยกครัวครับ ฉะนั้นอะไรที่ Bay ไม่สามารถสรรหาเหตุผลที่ Make Sense มาอธิบายได้ ป๋าแกใช้วิธีลัดครับ นั่นคือฆ่าแ_่ง ขนาดตัวละครเก่าๆ นี่ยังหายไปกับสายลมอ่ะ ไอ้พวกแซม มิเคล่า หรือว่าคาร์ลี่ย์อะไรนั่น Gone Boy & Gone Girl หมดเลยครับ แล้วก็ไปจับสลากเอาตัวละครเซ็ตใหม่ แล้วในที่สุดหวยก็มาลงที่เคต เยเกอร์ นักประดิษฐ์กระจอกๆ คนนึงที่แทบจะไม่มีอะไรกิน พร้อมกับลูกสาวเทสซ่า และหนังก็เล่าที่มาของครอบครัวนี้น้อยมากครับ ทำให้เราไม่อินและไม่ซึมซับกับเนื้อเรื่องเท่าที่ควร ตั้งแต่ต้นจนจบผมไม่ได้เอาใจช่วยไอ้พวกนี้แม้แต่น้อย(ออกจะรำคาญด้วยซ้ำบางฉาก) อย่างฉากไต่สายเคเบิ้ล สู้ฉากวิ่งในตึกในภาคสามไม่ได้เลยครับ อันนั้นลุ้นกว่าเยอะ หรือว่าฉากสู้กันกลางถนน อันนี้ขอสปอยนะครับเพราะตะขิดตะควงใจกับฉากนี้มากๆ นั่นก็คือฉากที่เทสซ่าแยกออกจากหมู่มาปล้วติดอยู่ในรถครับ โคตรรำคาญการกระทำของนางมาก คือนางบอกว่านางออกไม่ได้(แล้วเมิงเข้าไปเพื่อ? ทุ่งตั้งกว้างเมิงไม่ไปหลบ?) แล้วพอพ่อบอกให้ทุกกระจก แต่นางตบกระจก! ครับ นาง”ตบ”กระจกเพื่อที่จะให้มันแตก แหม… ไม่เอาหัว_่องมาทุบอ่ะถึงจะได้แตก อีค__ย
อย่าว่าแต่ตัวละครคนครับ ตัวละครหุ่นก็ชะตากรรมไม่ต่างกัน ของคนนี่บทได้ครับแต่บทนี่เ_ี้ยมาก ต่างกับพวกหุ่นนะครับ คือบทไม่ได้มีอะไรมากแต่แบบว่า… ออกมาทีไรเป็นอันร้องว้าวอ่ะ แต่เหตุผลในการปรากฏตัวของหุ่นแต่ละตัว….. คือ? แรงจูงใจเมิงคือ?
ส่วนบ่นแรกผ่านไป มาต่อบ่นสอง ในภาคนี้มีการเพิ่มความยาวหนังเข้ามาครับ หลังจากที่ยาวแค่สองชั่วโมงครึ่ง เพิ่มเป็นเกือบสามชั่วโมง(โอ้มายก้อด!) ซึ่งผมก็เตรียมตัวตั้งแต่ก่อนดูแล้วครับ ว่ามันต้องมีเนื้อเรื่องอะไรที่น่าสนใจแน่นอนเลยอ่ะ ก็เลยหวังไปครับว่าอย่างน้อยเนื้อเรื่องน่าจะมีอะไรซ่อนไว้ ครั้นพอดูจบ ก็ตระหนักได้ว่า………. เอิ่ม ยาวไปแล้วพี่ ตัดลงเหลือแค่สองชั่วโมงเศษๆ ดีกว่านะ
หนังยาวมากครับ ยาวจนหาวเลยอ่ะ ไม่แปลกที่ตอนผมดูรอบแรกผมหลับยาว ผมก็ว่ามันจะเล่าเรื่องแบบสลับซับซ้อน ชวนติดตามว่ามันจะเป็นยังไง แต่ไม่เลย เล่าเป็นแบบเส้นตรงมากอ่ะ ไม่มีหักมุม ไม่มี Twist ไดๆ ทั้งสิ้น เดินเรื่องไปทื่อๆ เลยอ่ะ และขอบอกว่าช่วงต้นเรื่องผมเบื่อกับการ tie-in โฆษณาแบบยัดๆ มาก มาหมดทั้ง Pepsi, รถสปอร์ต, น้ำยาบ้วนปาก, อาหารเสริม ฯลฯ แต่ก็เข้าใจว่าภาคนี้โดนตัดงบ ก็เลยต้องขอสปอนเซอร์เยอะ ภาพรวมมันเลยดูล้นๆ ไปในหลายฉาก พูดไปพูดมา ผมว่าถ้าภาคก่อนๆ ยาวเท่านี้ มันน่าจะดีนะ เช่นภาคแรกที่มีประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่างแต่ได้รับการเล่าไม่เพียงพอ ถ้าภาคแรกยาวเท่าภาคนี้ก็ได้อิ่มหนำสำราญแน่นอนครับ แต่ภาคนี้มันยาวเกินเหตุเนี่ยสิ เนื้อหาก็มีไม่ถึง 10 หน้า แต่เล่นใหญ่ใช้พื้นที่ไป 100 หน้าทีเดียว(แน่นอนว่าส่วนใหญ่ใช้กับฉากแอคชั่นล้วนๆ) เข้าใจว่าป๋าอยากจะยัดแอคชั่น แต่คุณป๋ายัดให้มันเนียนๆ หน่อยก็ดีนะ อย่างไอ้ฉากตีกันบนถนนกลางเรื่องเนี่ย ตัดออกไปก็ได้นะเสียเวลา เอาเวลาไปเล่าเรื่องดีกว่าป๋า
บ่นสองผ่านไป มาถึงบ่นโค้งสุดท้าย นั่นก็คือ”บท” โอ้พระเจ้า! ไม่อยากจะเชื่อว่าป๋า Bay ผู้ที่ทำผมน้ำตาซึมใน Armageddon จะทำบทดราม่าออกมาจืดชืดขนาดนี้ บทดราม่าเรื่องลูกกับแฟนลูกนี่เบาบางมากครับ ขนาดบทดราม่าของหุ่นยังจืดเลยครับ ภาคนี้ปูมาน่าสนใจมากๆ เล่าว่าออโต้บอทนี่โดนมนุษย์ตามเก็บเรียบ และออฟติมัสก็ปางตายเลย การที่เราเห็นหุ่นขวัญใจเรามาตั้งแต่เด็กมาเป็นอะไรไปมันทำร้ายจิตใจมากนะครับ เหมือนเอาโดรามอนมาฆ่าอะไรเงี้ย เป็นเราก็ทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่….. ป๋า Bay ไม่คิดจะเล่าให้คนดูคล้อยตามเลยครับ บทจะยัดก็ยัด แบบประมาณว่า “อ่ะ หุ่นดีโดนล่า คิดเอาเอง” เห้ย! ถ้าป๋าจะยัดลงง่ายๆ แบบนี้ไม่เอาเมกะตรอนมาเป็นฝ่ายดีเลยล่ะวะ และตรรกะของการตัดสินใจแต่ละทีมันสิ้นคิดโคตรๆ อ่ะครับ แบบประมาณเอาเมล็ดพันธ์ุไปซ่อน โดยที่รู้ว่ามันระเบิดเมืองทั้งเมืองได้สบาย แล้วทำไมพวกเองไม่เอาไประเบิดยานของไอ้ตัวร้ายตั้งแต่แรกล่ะฟระ! มีหลายอย่างที่อยากจะบ่นครับแต่เกรงว่ารีวิวนี้มันจะยาวเกินไป(เพราะบ่นแท้ๆ) เรามาพูดถึงข้อดีของมันดีกว่าครับ
แอคชั่นยังมันส์เหมือนเดิมครับ ระเบิดอะไรขนมาหมด ยิ่งฉากตีกันอยู่เมืองจีนนี่นับว่ามันส์เลยนะ Effect ก็เนี๊ยบทุกจุดเลย ภาพนี่ชัดโคตรอ่ะ และอีกอย่างคือตัวร้ายเท่ห์มากครับ ผมว่า Lockdown นี่เป็นตัวร้ายที่ดีที่สุดของเฟรนไชต์เลย ฉากเปิดตัวเท่ห์มากๆ ครับ เรียกได้ว่ารัศมีนี่แอบกลบออฟติมัสอยู่นิดนึงนะ ดาราโอเคครับ Walhberg ก็เล่นเป็นพ่อตาขาโหดได้แมนดี, Reynolds ก็หล่อดีครับ, Pelt นี่ก็ฮ็อตใช้ได้ ดนตรีประกอบถึงแม้จะดร็อปลง แต่ก็ยังเท่ห์เช่นเดิม
สรุป
๏ บทหนัง : เละเทะ
๏ การดำเนินเรื่อง : อืดมาก
๏ นักแสดง : โอเค
๏ Production : ดีมาก
คะแนนเฉลี่ยรวม : 6/10
เรตหนัง : หนังโอเค พอดูได้
มินิรีวิว Transformers 4 : Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4 : มหาวิบัติยุคสูญพันธ์
ดีนะซื้อตั๋ว 120 ไม่งั้นจะด่าหนักกว่านี้แหม่ เอาตังคืนมา แสรดดดดดด
หนังทั้งเรื่องมีดีอยู่สองอย่างคือทีม visual effects และวง Imagine Dragons
ทีมทำ cgi โหดทุกภาค คือเหมือนเขาทำหนังไว้เป็นพอร์ทโฟริโอ้อัพค่าตัวกันน่ะ
ชอบตอนทรานฟอร์มตัวร้าย ถึงจะคุ้นตาจากหนังเรื่องอื่น
พี่ฟันธงว่าวง Imagine Dragons จะยิ่งดังขึ้นๆ ตอนท้ายเพลงมานี่ขาขยับจนนึกว่าตูดู Step Up 5
ฉากแอ็คชั่นน้อยชิบ แล้วคือข้าพเจ้าจ่ายเงินมาดูทรานฟอร์เมอร์ ไม่ใช่มาดู Shooter เอ็งไม่ต้องเอาฉากแอ็คชั่นของพวกมักเกิ้ลมาตุ้บตั้บกันก็ได้
พี่เบย์เข้าใจใช่ไหมครับว่าหนังพี่ต้องขายออโต้บอท vs. ห่าเหวอะไรก็ว่าไป ไม่ใข่ขายแมทท์ เดม่อน
เฮ้ย นั่นมันมาร์ค วอห์เบิร์ก ตึกโป๊ะ
แล้วดราม่าถ้าไม่ใช่จุดแข็งของพี่เบย์ พี่ก็หยุดเถอะครับ กราบล่ะ จุดเด่นของพี่คือระเบิดเขาเผากระท่อม ตูมตามมั่วซั่วอะไรแบบนั้น ช่วยเน้นจุดแข็งมากกว่านี้หน่อยนะ
พี่ดิโนบอทขา น้อวมารอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ ถ้าพี่จะมาช้าแบบนี้เก็บไว้ end credits ก็ได้แหม่
ตัวร้ายนี่ละครช่อง 7 มาก ต้องพูดแผนการคนเดียวใส่คนดูไรงี้ มุกเชยมาก
มุมกล้องภาคนี้แย่หลายฉากเลย โฟกัสห่าอะไรให้กูดูฟะ แถมกล้องสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย
ดูหลายฉากแล้วนึกถึงทั้ง Robocop + Pacific Rim แถมมี let them fight ด้วย ฮ่าๆๆๆ
สรุปแล้วเบย์ยังคงเป็นเบย์นะครับแหม่
Transformers 4 : Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4 : มหาวิบัติยุคสูญพันธ์ คุยกันเรื่องหนังเบย์
ต้องขอออกตัวชมแรงๆก่อนเลยครับว่า TF4 เปิดตัวหนังได้ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะเนื้อเรื่องที่ทำได้ดู Dark และเข้มข้นแบบสุดๆ เมื่อเหล่ามนุษย์กลับผลักไสไล่ส่งเหล่า Transformers ทุกตัว ไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง Autobot ที่เคยช่วยเหลือมนุษย์มาถึง 3 ภาค ยังถูกไล่ล่าตามล่า และถูกกระทำราวกับเป็นแค่ขยะมลพิษบนโลกมนุษย์ และด้วยการเล่าเรื่องแบบดาร์คๆเช่นนี้ มันยังส่งผลดีให้กับตัวละครฝ่าย Autobot อย่างออฟติมัส ไพรม์ ในการเพิ่มมิติของตัวละครให้ลึกมากขึ้น เพราะไพรม์จากที่เคยนับถือในตัวมนุษย์ คอยช่วยเหลือมนุษย์โลก เรียกว่าตายให้มนุษย์โลกได้ กลับถูกมนุษย์หักหลัง จนจิตใจของไพรม์เกิดความสับสนอย่างรุนแรงว่าเค้ามองมนุษย์เป็นอย่างไรกันแน่ มันทำให้การเปิดตัวออฟติมัส ไพรม์ แทนที่จะดูเท่ ยิ่งใหญ่สมเป็นแม่ทัพเหล่า Autobot กลับต้องกลายเป็นรถสกปรก ผุพัง เปิดตัวด้วยความกลัว เกรี้ยวกราด และสับสน และมันก็แจ่มมากๆ เชื่อไหมครับ ระหว่างดูช่วงแรกของหนังผมถึงกับเทียบภาคนี้กับ X-Men Days of Future Past นู่นเลย
แต่ แต่ แต่
แต่ก่อนจะแต่ เรามาพูดถึงแนวทางการกำกับของพี่กำกับที่เรียกได้ว่าระเบิดภูเขา เผาเมือง ถล่มตึก ที่สุดในโลกอย่างพี่ไมเคิล เบย์กันก่อน
ไม่ว่านักวิจารณ์จะก่นด่า เหน็บ บ่น การทำหนังของไมเคิล เบย์ เพียงใด ผมอยากจะบอกว่าผมเนี่ยติ่งของพี่เบย์เค้าเลย ทุกเรื่องที่พี่แกกำกับแล้วโดนด่า ผมชอบมันหมดทุกเรื่อง ทั้ง Armageddon, Island , Bad Boys , Pearl Harbor หรือแม้กระทั่ง Pain & Gain ผมยังชอบและสนุกกับมันมากๆ
ยอมรับว่าบทหนังของเบย์ มักจะห่วย และในบางครั้งถึงขนาดหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าทำไปทำไม (เอาง่ายๆ อย่าง TF ภาคแรก ผมดูไปเกือบสิบรอบได้ ผมยังหาเหตุผลที่ต้องวิ่งเอา The Cube เข้าไปในเมือง แล้วไปสู้กันยิ้มวายป่วงในเมืองยังไม่ได้เลยครับ จะเข้าไปในเมืองกันทำม๊ายยยย)
แต่ความมหัศจรรย์ของไมเคิล เบย์ มันอยู่ที่พี่แกมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนมองข้ามบทเห่ยๆไปได้แบบที่คนดูสามารถพูดได้ว่า “กูไม่รู้ กูมันส์!!!” เวทมนต์ของพี่เบย์จะประกอบไปด้วย Visual Effect, Special Effect, CG ในระดับที่บ้าพลังและอลังการ น่าตื่นตาตื่นใจและแปลกใหม่เอามากๆ การกำกับฉากแอ๊คชั่นที่คิดมาอย่างดีแล้วว่าแซ่บ แจ่ม เท่ เร้าใจ แบบไม่ต้องอ้างอิงกฎใดๆทางธรรมชาติหรือศีลธรรม (อย่างการปล่อยศพมาขวางการไล่ล่าใน Bad Boys 2 หรือการรบกันแบบไม่ต้องเกรงใจประชาชนทั่วไป) ตัวละครที่เท่ เก๊ก X และเซ๊กซี่ รวมไปถึงบทพูดเท่ๆ เวอร์ๆ ที่คนธรรมดาไม่พูดกัน มุขตลกในแนวโหวกเหวก โวยวาย ล้นๆ ห่ามๆ และทุกอย่างจะประกอบไปด้วยเสียง และดนตรีประกอบเท่ๆ แนวๆ ผ่านมุมกล้องแบบตั้งใจเท่ที่เหมือนกับเรานั่งดูมิวสิควิดีโอ ตรงจุดนี้ก็อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่เบย์เริ่มต้นชีวิตจากการกำกับมิวสิควิดีโอ และหนังโฆษณา มันทำให้เราเห็นความเป็นมิวสิควิดีโอในหนังของเบย์เยอะมาก ซึ่งสำหรับผมมันไม่ใช่ข้อเสียใดๆเลย เพราะด้วยแนวทางแบบนี้ มันทำให้หนังของเบย์มันโคตรจะตลาด โคตรเท่ โคตรมันส์ ในขณะที่เนื้อเรื่องและบทจะออกไปทางแนวเรียบๆง่ายๆ เน้นเวอร์เข้าไว้ เน้นบิวท์อารมณ์คนดูให้รู้สึกมันส์เข้าไว้ คือสรุปง่ายๆ เบย์รู้ว่าคนดูจะชอบอะไร และอะไรมันเท่ มันมันส์ พี่เบย์จะจัดให้
ซึ่งในช่วง 30 นาทีแรกของ TF4 นั่นแหละมีความเป็นเบย์แบบถึงที่สุด
แต่ แต่ แต่
แต่พอผ่านช่วงแรกอันสุดยอดไปได้ เวทมนตร์ของพี่เบย์ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้ หรือมันอาจจะหมดความขลังไปแล้วก็ได้ โดยขอแยกเป็นอันดับๆไปดังนี้
อันดับที่หนึ่ง เบย์ได้ทำลายความมหัศจรรย์ ความน่าตื่นตาของหุ่น Transformers ไปจนหมดสิ้น ในภาคนี้ความหวือหวาตื่นตาของการแปลงร่างจากหุ่นเป็นรถ จากรถเป็นหุ่น เหลือลดน้อยลงแบบน่าใจหาย ส่วนมากเราจะเห็นเหล่าหุ่นยนต์คงสภาพกายอยู่ในรูปหุ่นยนต์ตลอดเวลา ในขณะที่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ในเรื่องก็ใช้วิธีการแปลงร่างในแบบที่ผมคิดว่า “มักง่าย” ทึ่สุด
อันดับที่สอง ความเท่ของหุ่น Transformers ได้หมดสิ้นลงด้วยการดีไซน์หุ่นที่เรียกได้ว่าเห่ยมาก โดยเฉพาะฝั่ง Autobot ที่สมาชิกใหม่ไม่มีความความเท่ ไม่มีจุดเด่น ไม่มีอะไรให้จดจำแม้แต่นิดเดียว รวมไปถึงหุ่นตัวร้ายๆอื่นๆที่จริงๆเราก็พอเห็นเค้าลางความเห่ยนี้มาตั้งแต่ภาค 2 แล้วที่พวกหุ่นตัวประกอบจะเป็นแค่หุ่นตัวดำๆ เรียบๆ แยกไม่ออกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน
อันดับที่สาม ความน่าตื่นตาของฉากแอ๊คชั่นลดลงไปอย่างน่าใจหาย กลายเป็นฉากแอ๊คชั่นพื้นๆ เพราะด้วยการที่ไปลดฉากการแปลงร่างแจ่มๆลง และคงรูปกายเป็นหุ่นสู้กัน มันก็แค่หุ่นยักษ์สู้กันธรรมดา ซึ่งเราก็เห็นจนเบื่อมาตั้งแต่ภาค 1 (แต่ตอนภาค 1 นี่มันสุดยอดมากๆในความรู้สึก) มันก็แค่หุ่นกระโดดข้ามตึกไป ข้ามตึกมา ยิงกันไป ยิงกันมา ต่อยกันไป ต่อยกันมา ก็อาจจะมีบ้างที่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายของหนังก็สู้กันมันส์หน่อย
อันดับที่สี่ เบย์คงลืมไปว่านี่คือหนัง Transformers มันคือหนังหุ่นยนต์ตีกัน แต่ในช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป กลายเป็นว่าไปเล่าเรื่องของมนุษย์ไปซะอย่างนั้น และแน่นอน เมื่อความน่าตื่นตาของแอ๊คชั่นมันหายไป ความมหัศจรรย์ของหุ่นยนต์แปลงร่างก็ไม่มี แถมยังมาเน้นเรื่องราวของมนุษย์ นั่นทำให้จากบทเห่ยๆที่เราบอกว่าเรายินดีจะมองข้ามมันไป เราก็ถูกบังคับให้กลับมาสนใจบทอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในการดูหนังของไมเคิล เบย์ เรื่องราวของภาคนี้เต็มไปด้วยพล็อตหลัก พล็อตรอง พล็อตเสริม พล็อตประกอบ และเต็มไปบทที่ไร้ที่มาที่ไป ไร้สาเหตุ ไร้เป้าหมาย คือยอมรับว่าหนังเรื่องก่อนๆของเบย์มันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่มันก็มีแก่นของเรื่องและเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การบู๊กันระหว่างตัวเทพของ Autobot และ Decepticon เพราะฝ่ายหลังจะทำลายโลกอะไรแบบนั้น
แถมด้วยวิธีการเน่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนังของเบย์ คือเนิบนาบ ชักช้า ชวนง่วง แถมยังยืดให้หนังยาวเหยียดเกือบ 3 ชั่วโมง และด้วยที่แก่นของเนื้อเรื่องมันมั่วซั่ว จนคนดูไม่รู้ว่าจะให้กูนั่งดูอะไร คนดูก็ทำได้แต่คอยนับเวลาให้มันจบๆเรื่องไปสักที (แถมหนังนาน ป๊อบคอร์นก็หมดถังแล้วด้วย)
อันดับที่ห้า มุขตลกบ้าๆบอๆโหวกเหวกโวยวายที่เป็นจุดขาย แปรเปลี่ยนเป็นมุขทีคนดูบางทียังไม่ทันจะรู้เลยว่าพวกพี่เล่นมุขกันแล้ว เป็นมุขที่จืดชืดและน่าเบื่อ โดยเฉพาะมุขที่เล่นโดยพวกหุ่นยนต์ Autobot ที่น่ารำคาญและน่าหงุดหงิดมากๆ
อันดับที่หก นี่น่าจะเป็นหนังที่โฆษณาเยอะที่สุดในโลกก็เป็นได้ แต่โฆษณาเนียนๆเราก็ให้อภัย แต่ไอ้โฆษณาที่ตั้งใจเทน้ำขวดให้ล้ม แล้วให้พระเอกตั้งใจหยิบขึ้นมาดื่มนี่ คือ เอิ่ม พอๆกับไทยประกันชีวิตในหนังไทยเลยครับท่าน
เพื่อนๆอ่านมาจนถึงตอนนี้อาจจะถามว่าจริงๆแล้วผมมีอคติกับหนังเบย์หรือเปล่า ก็ต้องขอยืนยันอีกครั้ง ผมเนี่ย โคตรชอบหนังของเบย์เลย แต่ TF4 เวทมนต์ของเบย์มันหายหมด แล้วหายไปแบบไม่น่าให้อภัย
สุดท้ายนี้พูดได้แค่ว่า TF4 คงเป็น Age of Extinction of Transformers and Michael Bay เป็นแน่แท้
>>>> D- <<<<
ปล.แต่ถามว่าหนังจะเจ๊งหรือเปล่า ผมว่าหนังก็ยังคงได้กำไรมหาศาลอยู่แล้ว เพราะดูได้ค่าโฆษณาก็เยอะ แถมที่สำคัญ หนังตั้งใจขายคนจีนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะบู๊กันที่จีนและฮ่องกงเกือบครึ่งเรื่อง และแผนการหนังฮอลลีวู้ดถ่ายทำที่จีนเราจะเห็นว่าเริ่มใช้กันเยอะมากกับหนังหลายๆเรื่อง เพราะมันเป็นแผนการที่เน้น “จำนวน” คนดู ไม่ใช่เน้น “คุณภาพ” แน่นอนว่าถ้า Transformers มาถ่ายในไทย ผมเป็นคนไทยก็ปลื้มดิ อยากเห็นฉากที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนมีหุ่นยนต์มาตีกันอยู่แล้ว
มันก็เหมือนกับหนังบอลลีวู้ดของอินเดียน่ะแหละ คุณภาพหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่เค้าไม่ขาดทุน เพราะจำนวนคนดูของเค้าเยอะมาก แค่คนจ่ายตั๋วไปดูหนัง ก็คุ้มกับต้นทุนแล้วครับ
ไมเคิล เบย์
ดูหนังออนไลน์ Transformers 4 : Age of Extinction (2014) ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 4 : มหาวิบัติยุคสูญพันธ์ ในขณะที่ดาวโลกเสียหายจากการต่อสู้ของเหล่าหุ่นยนต์ และมนุษย์โลกก็กำลังฟื้นฟู เมืองแต่ละเมืองให้กลับมาปกติ ซึ่งเหล่า ออโต้บ็อต และ ดิเซ็ปติค่อน ก็ได้หาย สาบสูญไปอย่างลึกลับแล้ว แต่ก็ยังไม่วาย ได้มีกลุ่มนักธุรกิจ และนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนึง ที่เรียนรู้การโจมตีของเหล่าหุ่นยนต์ ที่ผ่านมา เพื่อมาสร้างหุ่นยนต์ที่มี เทคโนโลยีในรูปแบบเดียวกัน ที่ท้ายสุดแล้วทำให้มันเกินความควบคุมของมนุษย์ และทำให้หุ่นยนต์ดึกดำบรรพ์ลึกลับที่หวังจะครองโลกอยู่นาน ได้เล็งเป้าหมายโจมตีมาที่โลกทันที การต่อสู้ของเหล่ามนุษย์ที่ไม่มีวันจบสิ้นจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
Fast and Furious 9 (2021) เร็ว…แรงทะลุนรก 9
FAST X (2023) เร็ว…แรง ทะลุนรก 10
The Fast and the Furious 1 (2001) เร็ว…แรงทะลุนรก
2 Fast 2 Furious (2003) เร็ว…แรงทะลุนรก: เร็วคูณ 2 ดับเบิ้ลแรงท้านรก
The Fast and the Furious 3 Tokyo Drift (2006) เร็ว…แรงทะลุนรก ซิ่งแหกพิกัดโตเกียว