ดูหนังออนไลน์ เต็มเรื่อง หนังใหม่อัพเดททุกวัน ฟรี HD ชัด

ดูหนังออนไลน์ moviehd24 หนังใหม่HD ดูหนังเต็มเรื่อง2024 ซีรี่ย์ออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี

google search

The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

ปีที่ฉาย : 2014
เสียง : พากย์ไทย
Episode : -
imdb 7.7
ความคมชัด : HD
The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

ดูหนังออนไลน์ The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

เรื่องย่อ : The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD

The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

เรื่องย่อ The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

Stephen Hawking ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสาขาฟิสิกส์ แม้ว่าจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเมื่ออายุ 21 ปี เขาเอาชนะอุปสรรคอันเลวร้ายเมื่อ Jane ภรรยาคนแรกของเขาช่วยเหลือเขาอย่างภักดี

ผู้กำกับ

  • เจมส์ มาร์ช

บริษัท ค่ายหนัง

  • เวิร์คคิงไทเทิลฟิล์มส์

นักแสดง

  • เอดดี เรดเมย์น
  • เฟลิซิตี้ โจนส์
  • ชาร์ลี ค็อกซ์
  • เอมิลี่ วัตสัน
  • ไซม่อน แม็คเบอร์นี่ย์
  • เดวิด ธิวลิส

โปสเตอร์หนัง

The Theory of Everything (2014) - IMDb

The Theory of Everything (2014 film) - Wikipedia

The Theory of Everything (2014) | Rotten Tomatoes

รีวิวหนัง

Outsidersung

[CR] รีวิวหนังเรื่อง The Theory of Everything

ให้ 8.5/10 หนังรักโรแมนติก-ดราม่า อิงมาจากเรื่องราวจริงที่ถูกเขียนขึ้นโดย Jane Hawking ในหนังสือที่มีชื่อว่า Travelling to Infinity: My Life with Stephen ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักของเธอที่มีต่อสามี Stephen Hawking นักฟิสิกส์ชื่อดังที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง กับผลงานทางวิชาการของเขาที่แม้ว่าร่างกายจะพ่ายแพ้ต่อโรคแต่สมองยังคงสู้

หนังเรื่องนี้ถูกฉายครั้งแรกในงานเทศกาลหนัง Toronto 2014 ได้รับคำชมและชนะรางวัลมากมาย ล่าสุด Eddie Redmayne (ผู้แสดงเป็น Stephen Hawking) ก็เพิ่งคว้ารางวัล Golden Globes 2015 สาขา Best Actor และหนังเรื่องนี้ยังเข้าชิงรางวัล Oscar ถึง 5 สาขาด้วย

และหลังจากที่ชมหนังที่ชิงรางวัล Oscar สาขา Best Actor มาหมดแล้วยกเว้น Birdman ณ ตอนนี้ขอบอกเลยว่า Eddie Redmayne เหมาะสมแก่รางวัลนี้มากที่สุด ช่างเป็นการแสดงที่เยี่ยมยอดมาก จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนๆเดียวกับคนที่เล่นเป็นตัวร้ายในหนังเรื่อง Jupiter Ascending เพราะใน Jupiter Ascending นั้นส่วนตัวยังไม่อยากเรียกว่าเป็นการแสดงเลย

ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังชีวประวัติ แต่เมื่อชมแล้วมันก็คือหนังที่ดำเนินเรื่องเหมือนหนัง ไม่มีการเล่าที่ยืดเยื้อหรือออกแนวสารคดีแต่อย่างใด เป็นหนังที่มีความดีงามและมีคุณค่าทางความรักและวิชาการ สี การจัดองค์ประกอบภาพ เสื้อผ้าหน้าผม จะออกแนวฟุ้งๆหวานๆ เป็นสี pastel ย้อนยุค เพลงประกอบเพราะ เมื่อรวมกับบรรยากาศของอังกฤษแล้วช่างคลาสสิกเสียนี่กระไร

หนังเปิดมาด้วยความรักอันสดใสที่พลอยทำให้คนดูร่าเริงสดใสตามไปด้วย หลังจากนั้น 15 นาทีหนังพาคนดูค่อยๆจมดิ่งสู่ทุกความรู้สึกที่ตรงกันข้าม ซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัดกดดันของหัวอกผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ทำเอาผู้หญิงอย่างอิฉันต้องเสียน้ำตาเกือบทั้งเรื่อง จนออกจากโรงกลับบ้านมาจะนอนแล้ว ความรู้สึกนี้ก็ยังคงคั่งค้างอยู่ภายในจิตใจด้วยความรู้สึกที่ทั้งเข้าใจ เห็นใจและเหนื่อยแทน หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังที่ผู้หญิงมาชมแล้วน่าจะซาบซึ้งและซึมซับเข้าใจความรู้สึกได้ดีกว่าผู้ชาย อย่าลืมพกกระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้าไปด้วยนะคะ

หนังยังจับเอาประเด็นวิทยาศาสตร์และศาสนศาสตร์มาเล่นให้เห็นถึงความขัดแย้งและแตกต่างทางความเชื่อระหว่าง 2 ตัวละครหลักสามีและภรรยา โดยที่สตีเฟ่นไม่เชื่อในพระเจ้าแต่เชื่อในหลักวิทยาศาสตร์และพยายามคิดหาทฤษฎีเรื่องเงื่อนเวลาเพื่อมาหักล้างเรื่องพระเจ้าและตัวเขาเองก็กำลังแข่งขันกับเวลาอยู่จึงสนใจทฤษฎีนี้เป็นพิเศษ ในระหว่างที่เจนเป็นคนที่เชื่อพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นจึงเป็นข้อดีที่ทำให้เจนนั้นยังอดทนสู้เสียเหลือเกิน ด้วยการมีความหวังและกำลังใจอยู่เสมอ และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเมตตาทำให้เกิดปาฏิหาริย์กับสามีของเธอ

ซึ่งเชื่อว่าถ้าสตีเฟ่นเจอสาวที่มีแนวคิดเดียวกันในความเชื่อเรื่องหลักวิทยาศาสตร์ที่ต้องพบเจอเหตุกรณีเดียวกับเจน หนังก็คงจะดราม่ามากกว่านี้ในมุมมองที่แสนเศร้าเป็นแน่ แต่อย่างไรก็ตามแม้เนื้อเรื่องจะดราม่า แต่มันก็เต็มไปด้วยดราม่าที่ feel good ในส่วนที่ดีเพราะตัวละครหลักทุกตัวต่างมองโลกในแง่บวก รัก เข้าใจ และคอยสนับสนุนเป็นแรงผลักดันช่วยเหลือกันและกันไปจนถึงสุดปลายทาง และไม่ว่าจะมีทฤษฎีไหนต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย ก็คงจะไม่มีทฤษฎีไหนสู้หรือเทียบเท่าทฤษฎีหรือพลังของรักแท้ได้

ปล. นี่เป็นการให้คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีมุมมอง ความชอบ ความคิดต่างกัน ซึ่งเมื่อคุณไปดูแล้วคุณอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ค่ะ (แค่รักการดูหนังและอยากจะแชร์แลกเปลี่ยนความเห็นให้คนชอบดูหนังมาคุยกัน ไม่มีอะไรถูกหรือผิด ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นเหมือนกันค่ะ)

Nutonline

รีวิว The Theory of Everything บทหนังทื่อไร้มิติใด ๆ มารองรับ ยังดีว่าสองนักแสดงนำช่วยกันประคองหนังไว้ได้จนจบ

The Theory of Everything (2014)

1) ก่อนดูผมก็ได้ยินกระแสมาบ้างว่าบทมันไม่ค่อยโอเคเท่าไร แต่ไม่คิดว่าพอดูจริงแล้วบทมันจะเรียกว่า “โคตรแย่” แย่ในที่นี้คือเล่าชีวประวัติ ‘สตีเฟน ฮอว์คิง’ ได้ทื่อมาก เป็นเส้นตรงแบบจับยัดเหตุการณ์มาร้อยเป็นหนังยาวสองชั่วโมง เป็นความทื่อที่ไร้มิติ ไม่มีอะไรมารองรับแต่ละเหตุการณ์ เป็นบทหนังที่แย่มาก (ทันทีที่เขียนข้อแรกจบ รู้สึกเอะใจว่าหนังจะได้ชิงบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ และมันก็ชิงจริง ๆ ด้วย ส่วนตัวค่อนข้างเซอไพรส์มาก)

2) เราไม่ได้คาดหวังอะไรจากหนังมากไปกว่าอยากสัมผัสด้านโรแมนติกของ ‘เจน’ (Felicity Jones) หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างคนรักที่ป่วยทุพพลภาพ แต่หนังไม่สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ด้วยตัวบทหนัง จุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่แต่งงานกันคือเลื่อนลอยไม่เห็นความสัมพันธ์ขั้นนั้นเลย ยิ่งช่วงเริ่มต้นชีวิตคู่ยากลำบากนี่มันไม่มีให้เห็นเลยว่าทำไมเจนถึงอยู่ดูแลเขา (แถมยังกระโดดข้ามสิ่งที่หมอบอกว่าจะฮอว์คิงจะตายใน 2 ปีไปขั้นมีลูกด้วยกันเลย) เริ่มต้นก็แย่แล้ว มาเริ่มดีตอนกลางเรื่องที่มีบุคคลที่สามเข้ามาในชีวิตของทั้งคู่ ซึ่งเป็นช่วงที่เจนเริ่มอึดอัดกับสภาพชีวิตตัวเอง เพียงแต่ว่าส่วนประกอบก่อนหน้านั้นมันถูกใส่มาแบบจับยัดโดยตลอดพอมาถึงฉากนี้มันก็เข็นไม่ขึ้นแล้ว

3) บทหนังแย่ ๆ นี่อยู่รอดได้ด้วยการแสดงของทั้ง ‘เอ็ดดี้ เรดเมย์น’ และ ‘เฟลิซิตี้ โจนส์’ จริง ๆ อย่างที่บอกว่าแต่ละฉากมันถูกจับยัดเข้ามาเรื่อย ๆ แบบไม่มีอะไรมารองรับเลย ดังนั้นการแสดงจึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้คนดูคล้อยตามตัวละคร ซึ่งทั้งสองคนทำหน้าที่ส่วนการแสดงประสบความสำเร็จ

4) หนังพยายามออกจากสเกลการเป็นหนังรักด้วยการออกไปแตะด้านผลงานของฮอว์คิงให้คนดูที่ไม่รู้จักเขาได้สัมผัสถึงความอัจฉริยะของเขา แต่บอกเลยว่าเหลวเป๋วมาก จะออกไปเต็มตัวก็ไม่กล้าเพราะมันเป็นเรื่องจักรวาลวิทยาเข้าใจยาก จะไม่พูดถึงผลงานเลยก็ไม่ได้ พอด้านผลงานออกมาแบบผิวเผินไปรวมกับพาร์ทโรแมนติกอันย่ำแย่มันยิ่งฉุดหนังให้ลงเหวเร็วขึ้นอีก (คงมีแต่การแสดงที่ช่วยประคองเอาไว้)

5) พูดถึงการแสดงของ ‘เอ็ดดี้ เรดเมย์น’ อยู่ในเกณฑ์ดีสำหรับเข้าชิงรางวัลแต่ยังไม่ถึงขั้นว้าวสำหรับผม เขาทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ ในการเลียนแบบกายภาพของฮอว์คิง แต่พอพูดถึงการถ่ายทอดอารมณ์แล้วเขาดีแต่ยังไม่โดดเด่นขนาดต้องทึ่งอะไร ซึ่งอาจจะมาจากหลายปัจจัยเช่นบทครึ่งหลังนี่เริ่มโฟกัสไปที่เจน รวมถึงบทหนังที่ย่ำแย่จนเขาทำได้เพียงแสดงประคองฉากนั้นให้จบ ๆ ไป (ปีนี้คนที่ทำให้ทึ่งได้ยังมีคนเดียวคือมาริยง กอตียาร์ ส่วนฝ่ายชายถ้าวัดกันที่การถ่ายทอดอารมณ์เพียว ๆ ยกให้สตีฟ คาเรลล์นำอยู่)

6) ตัววัตถุดิบสำหรับทำบทหนังค่อนข้างมีความนุ่มนวลเพราะสร้างมาจากหนังสือที่เขียนโดยเจน อดีตภรรยาของฮอว์คิง ในภาพรวมแล้วเราสัมผัสได้นะว่าเจนต้องรักสามีขนาดไหนถึงจะอยู่กับคนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ยากลำบาก แล้วฮอว์คิงต้องเสียสละขนาดไหนถึงจะยอมเสียคนรักของตัวเองให้คนอื่นที่เหมาะสมเพราะอยากให้เธอได้ใช้ชีวิตที่ปกติ

7) อย่างไรก็ตามตัววัตถุดิบเดียวกันนี้ถ้าหากไม่ใช่การทำหนังคนที่ยังมีชีวิตอยู่มันคงจะเป็นด้านหม่นหมองพอสมควร เพราะเราจะได้เห็นทั้งประเด็นการหย่าร้าง สถานะการถูกพูดถึงในสังคม และการมีใจให้คนอื่นในขณะที่ตัวเองมีครอบครัวอยู่แล้ว ถึงกระนั้นมันก็น่าสนใจใช่ไหมที่วัตถุดิบชิ้นนี้นำมาถ่ายทอดเป็นหนังโรแมนติกได้ทั้งที่มันมีมุมเช่นนี้

8) คงไม่ต้องบอกว่า The Theory of Everything คืออีกหนึ่งหนัง Oscar bait ที่มาทั้งสูตรหนังชีวประวัติแบบอนุรักษ์นิยมเล่าเรื่องทื่อ ๆ เป็นเส้นตรง พูดถึงการต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิต และส่วนตัวรู้สึกผิดหวังพอสมควรที่หนังคุณภาพแค่นี้มีชื่อในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม การเปิดทางให้หนังนอมินีเพิ่มขึ้น มันควรจะเพิ่มหนังดีที่ไม่ใช่จริตกรรมการออสการ์มากกว่าจะเป็นหนังสูตรออสการ์แต่คุณภาพไม่ถึงขั้น

Director: James Marsh
book: Jane Hawking
screenplay: Anthony McCarten

Genre: biography, romance, drama
6/10

หนังเรื่องนี้กูจะรีวิว

Review : The theory of everything (2014)
แนว : Biography,Drama,Romance

ความรักคือพลัง ความหวังคือชีวิต
.
.
The Theory of everything นำเสนอเรื่องราวชีวประวัติของ สตีเฟน ฮอว์กิ้ง นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลก (แสดงโดย Eddie Redmayne) วัยหนุ่มที่ได้พบรักกับเจน ไวลด์ (แสดงโดย Felicity Jones) ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะป่วยเป็นโรค ALS ( Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือที่เรียกกันว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสสั่งกล้ามเนื้อให้ทำงานได้และเริ่มมีอาการหนักขึ้น หมอบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี แต่กระนั้น…ทั้งสองก็พร้อมจะสู้และไม่ยอมแพ้ต่อโรคร้ายนี้ไปด้วยกัน

หนังไม่เพียงแต่พาให้เราไปรู้จักกับชีวิตของสตีเฟน ฮอว์กิ้ง แต่ยังทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวความรักที่งดงามจนสัมผัสได้ และหนังได้ทำการเดินเรื่องควบคู่กับอารมณ์เหล่านี้ไปได้อย่างดีเยี่ยม ให้มุมมองและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอยู่มากขึ้นอีกเหลือล้น การเดินเรื่องนั้นเร็ว กระชับ ด้านภาพก็สวยดี หลายฉากมีเล่นกับแสงสีสวยงาม โดยรวมน่าประทับใจทุกอย่าง แต่กระนั้นเองก็ยังมีจุดน่าสังเกตเล็กๆน้อยๆที่ยังทำให้รู้สึกไม่ ‘อิ่ม’ และไม่อินแบบที่ควรจะเป็น

หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังรักเกือบทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งก็เป็นจริงอย่างว่าแต่แค่ในช่วงแรกของหนังที่ดู Romance จนดูเป็นหนังรักที่ดูไม่คล้ายกับหนังชีวประวัตินัก แต่กระนั้นเมื่อเรื่องดำเนินไปผมก็พบว่าหนังมันตั้งใจจะสื่อสองสิ่งนี้ควบคู่กันไปต่างหาก และประเด็นไม่ได้อยู่เพียงที่บอกว่า Stephen Hawking เป็นใคร แต่ยังให้คนดูได้รู้จักกับความรักครั้งแรกของเขา และหนังก็กำลังสื่อว่า ความรัก คือแรงผลักดันที่เต็มไปด้วยชีวิตทำให้โลกนี้มีความหวังมากกว่า แต่ในเรื่องทฤษฎีต่างๆของสตีเฟน หนังตั้งใจหยิบเฉพาะเจาะจงทฤษฎีที่คาดว่าสำคัญที่สุดในการเล่า จึงไม่ได้กล่าวว่านอกจากทฤษฎีที่ทำให้เขาโด่งดังกลายเป็นพุแตกชั่วข้ามคืนนั้นมีอะไรอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกบ้างไหม อย่างไรก็ดี…ภาพรวมของหนังบ่งบอกได้ว่าหนังควรค่าแก่การดูสักครั้ง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ความหวังอันไม่สมบูรณ์ แต่กลับประสบความสำเร็จทั่วโลกอย่างน่าจดจำ

การถ่ายทอดอารมณ์ และการตัดต่อ+เดินเรื่อง บางช่วงยังทำได้ไม่สมู้ดเท่าไหร่ เห็นถึงข้อบกพร่องอย่างการเดินเรื่องที่กระชับเกินไปจนเหมือนข้ามไปเป็นฉากๆโดยที่ไม่มีที่มาที่ไปบอกกล่าว และอารมณ์ค่อนข้างจะแข็งทื่ออยู่สักหน่อย (แต่ขอเน้นย้ำว่า บางช่วงเท่านั้น!) แต่โดยรวมเพราะบทขับให้องค์ประกอบหลายอย่างเด่นขึ้นแทน รวมถึงการมีนักแสดงระดับออสการ์มาเล่น ถือเป็นการแสดงร่วมกันของดาราทั้งสองที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ Felicity Jones อย่างเต็มตัว และก็พบว่าเธอเล่นดีใช้ได้มากๆ แม้ด้านบทของเธอจะไม่ได้สั่นสะเทือนอารมณ์ แต่การแสดงคู่กับ Eddie นั้น สามารถส่งความรู้สึกที่แทบจะสัมผัสได้เลยจริงๆ และเธอยังสะสวยอีกต่างหาก

ณ จุดนี้ต้องยอมรับว่าการแสดงของ Eddie Redmayne นั้นสุดยอดจริงๆ ด้านตัวละคร Stephen Hawking เป็นคนที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์ และ Eddie ได้ถ่ายทอดทุกอารมณ์ ความเป็นตัวของชายคนนี้ได้เยี่ยมยอดน่าทึ่งจนต้องขอลุกขึ้นยืนปรบมืออย่างชื่นชมดังๆ ทั้งท่าทาง สีหน้า การพูด แววตา และทุกอย่างมันใช่ไปหมดจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเอ็ดดี้! นักแสดง ที่ไม่ใช่สตีเฟน ฮอว์กิ้ง!!

อย่างไรก็แล้วแต่ การนำชีวประวัติของบุคคลระดับสุดยอดคนนึงของประวัติศาสตร์มาทำเป็นหนังซึ่งไม่ง่าย แต่การเขียนร้อยเรียงบทก็ทำออกมาได้สวยงาม เป็นขั้นเป็นตอน และเห็นภาพชีวิตของเขาจริงๆ เป็นหนังที่น่าชื่นชมในเรื่องของการแสดงเป็นอย่างมาก แม้อารมณ์ยังถ่ายทอดได้ไม่ดี แต่ก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดแต่ออกแนวมีความหวังขึ้นมากกับชีวิตของตัวเองหลังดูจบ ส่วนพาร์ทที่ดีและชอบที่สุดของหนังคือการบอกกับคนดูว่า ‘ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้’ และตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีความหวัง…และแม้ชีวิตเราจะแย่เพียงใด มันจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ดีและทำได้สำเร็จ ดังคำที่สตีเฟน ฮอว์กิ้งพูดไว้ เสียดแทงและตรงต่อความรู้สึก และมันเป็นหนังที่เพิ่มพลังชีวิตให้กับคนที่กำลังหมดหวัง ท้อแท้ได้ดี รวมถึงการเห็นคุณค่าของคนที่เราอยู่ด้วย

The Theory of everything ไม่ใช่แค่ทฤษฎีอีกต่อไป…ในวันนี้ Stephen Hawking ได้พิสูจน์มากกว่าทฤษฎี นั่นคือการใช้ชีวิต ที่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ!!
.
.
“However difficult life may seem, there is always something you can do and succeed at.” Stephen Hawking

ไม่ว่าชีวิตจะดูแย่มากเพียงใด จะมีสิ่งที่เราทำได้และทำสำเร็จได้เสมอ…ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ ก็ย่อมมีหวัง
.
.
คะแนน 8/10

ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

The Midnight Sky (2020) สัญญาณสงัด

A Beautiful Mind (2001) ผู้ชายหลายมิติ

The Imitation Game (2014) ดิ อิมมิเทชั่น เกม ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก

Radioactive (2019) รังสีเรเดียม

The Man Who Knew Infinity (2015) อัจฉริยะโลกไม่รัก

แสดงความคิดเห็น

ดูหนังออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี เรื่องอื่นๆ

ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่2024 moviehd24 ดูหนังเต็มเรื่อง หนังHD ดูหนังฟรีไม่กระตุก