เรื่องย่อ : The Substance (2024) สวยสลับร่าง ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ดูหนัง The Substance (2024) สวยสลับร่าง นักแสดงหญิงที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงในวงการ ตัดสินใจที่จะใช้ยาบางอย่างจากตลาดมืด ซึ่งเป็นสารเคมีที่จะทำให้เซลล์ของเธอสร้างร่างกายของเธอในวัยยังสาวขึ้นมาได้ชั่วคราวเธอได้รับแฟลชไดรฟ์ที่มีฉลากว่า “สาร” ซึ่งโปรโมตสิ่งประดิษฐ์ของซัพพลายเออร์ลึกลับ: เซรั่มที่เมื่อฉีดเข้าไปจะสร้างผู้ใช้ในเวอร์ชันที่อ่อนเยาว์กว่า สวยงามกว่า และ “สมบูรณ์แบบ” มากขึ้น แม้ว่าทั้งสองจะยังคงเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว หลังจากไตร่ตรองแล้ว เอลิซาเบธสั่งและฉีดผลิตภัณฑ์ “Activator” แบบใช้ครั้งเดียว ทำให้เธอกลายเป็นเวอร์ชันที่อ่อนเยาว์กว่าจากแผลที่หลังของเธอ
ร่างที่อายุน้อยกว่าซึ่งใช้ชื่อว่า “ซู” ได้รับคำสั่งจากซัพพลายเออร์ลึกลับให้ฉีดเซรั่ม “สเตบิไลเซอร์” ที่สกัดมาจากเอลิซาเบธที่หมดสติทุกวัน ทั้งสองต้องสลับร่างกันทุก ๆ เจ็ดวันโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยคนหนึ่งพักผ่อนโดยไม่รู้ตัว และอีกคนใช้ชีวิตในโลกภายนอก ซูได้รับการว่าจ้างให้กลับไปร่วมรายการของเอลิซาเบธอีกครั้ง และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของชื่อเสียงและความชื่นชมอย่างรวดเร็ว เมื่อเอลิซาเบธถูกบังคับให้สลับร่างกับเธอ เธอก็ยังคงต่อสู้กับความรู้สึกไม่เพียงพอ ความเหงา และความนับถือตนเองที่ต่ำลงเรื่อย ๆ ดูหนังออนไลน์
ความแตกต่างระหว่างเอลิซาเบธกับซูเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เอลิซาเบธเริ่มกินมากเกินไปและ ดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะที่ซูเสพติดสารปรับสภาพร่างกายมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเปลี่ยนร่างกาย ทำให้เอลิซาเบธแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว เอลิซาเบธติดต่อซัพพลายเออร์ ซึ่งบอกเธอว่าเธอสามารถเลือกที่จะเชื่อฟังการเปลี่ยนแปลงต่อไปหรือเลิกใช้สาร ซึ่งทั้งสองอย่างจะไม่ทำให้เธอกลับมามีรูปร่างเหมือนเดิม เอลิซาเบธยอมแพ้และยังคงใช้สารปรับสภาพร่างกายต่อไปในฐานะซู
เมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ เอลิซาเบธก็กลายเป็นหญิงชราที่อิดโรยเพราะการติดยาของซู เมื่อซูได้รับเชิญให้เป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าที่ทุกคนรอคอย เธอได้สกัดสารสเตบิไลเซอร์ออกมาได้เพียงพอสำหรับใช้เป็นเวลาสามเดือน อย่างไรก็ตาม ในวันก่อนถึงงานเลี้ยงพิเศษ ซูวิ่งออกจากสเตบิไลเซอร์และถูกซัพพลายเออร์บังคับให้กลับไปหาเอลิซาเบธ ซึ่งทำให้เธอตกใจมากเมื่อพบว่าตอนนี้เธอกลายเป็นคนหลังค่อม ไร้ขนและ พิการ
เอลิซาเบธสิ้นหวัง เธอจึงปลอมตัวด้วยเสื้อผ้าหนาๆ และหาเซรั่มชนิดใหม่มาเพื่อทำลายชีวิตของซู แต่เธอยังคงโหยหาการชื่นชม จึงหยุดในวินาทีสุดท้ายและชุบชีวิตซูขึ้นมาอีกครั้ง ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซูขาดสะบั้นลง เมื่อเห็นเซรั่มที่แทบจะหมด ซูจึงแก้แค้นด้วยการฆ่าเอลิซาเบธ ก่อนจะออกเดินทางเพื่อไปเป็นพิธีกรรายการส่งท้ายปีเก่า
Coralie Fargeat
The Substance (2024) – นี่คือหนังที่บ้าที่สุดในปีนี้ และไม่คิดว่ามีเรื่องไหนบ้าได้กว่านี้อีกแล้ว
มีความเป็นตัวเองสูง สดใหม่ ไม่เหมือนเรื่องไหนที่ดูมา และรับประกันว่าการดูเรื่องนี้ จะมีแต่คำว่า “WTF” เต็มไปหมด เพราะนอกจากจะเป็นหนังแนวเสียดสีตลกร้ายแนว Body Horror ที่ล้อกับเรื่อง Beauty Standard แล้ว ยังเป็นหนังที่เหมือนจงใจแกล้งคนดูให้รู้สึกเหงื่อออก หน้าเหวอ ทำหน้าตาไม่ถูก พะอืดพะอม ดูไปปิดปากไป และท้องไส้ปั่นป่วนแทบจะ 70-80% ของทั้งหมด
The Substance หรือสวยสลับร่าง เป็นหนังที่คว้ารางวัล Best Screenplay จาก Cannes Film Festival ว่าด้วยเรื่องของ Elizabeth Sparkle (Demi Moore) อดีตดาราดังที่ตอนนี้แก่เหี่ยวย่นจนผู้คนเริ่มลืมเลือน เลยใช้สารอมฤตเพื่อแยกตัวเองมาเป็นอีกร่างที่เพอร์เฟ็กต์ (Margaret Qualley) โดยสลับใช้ร่างเดิมกับร่างสาวสวย สดใส ผิวเด้งเต่งตึงนี้ ครั้งละ 7 วัน ซึ่งผมจะบอกแค่นี้ และเป็นไปได้ไม่อยากให้ดูตัวอย่างก่อนดูเลย
แต่จริงๆ ต่อให้ไม่บอกหรือยังไม่ดู แค่พล็อตสั้นๆ ผมว่าทุกคนแทบจะเดาออกกันแล้วว่าเรื่องมันจะไปทางไหน จะเกิดอะไรขึ้นต่อ และจะไปจบที่ตรงไหน ความเจ๋งของหนังคือประสบการณ์ระหว่างทาง ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ที่อาจดูไม่ได้มีเนื้อเรื่องมากเท่าไหร่และสามารถเป็นอีพีนึงของ Black Mirror ได้ตรงการใส่บางอย่างที่หลุดโลกพร้อมเงื่อนไขมากระตุ้นให้เห็นสันดานและการกระทำจากความปรารถนาบางอย่างของมนุษย์ แต่การดำเนินเรื่องและภาพเสียงที่ได้เห็นได้ยิน มันขยี้สุดๆ และทำได้ยิ่งกว่าคำว่า ‘น่าจดจำ’ เพราะดูเรื่องนี้ผมว่าจะจำไม่ลืมตลอดชีวิตเลยล่ะครับ55555
เรื่องการแสดงทั้งสองคนยอดเยี่ยมมาก การใช้นักแสดงที่อดีตเคยดังกับดาวรุ่งพุ่งแรงมารับบทสองบทนี้อาจมีส่วนทำให้การแสดงออกมาอินเหมือนกัน เพราะมันสะท้อนถึงบทที่ทั้งสองคนได้รับ โดยเราจะได้เห็นว่า Demi Moore รูปร่างและความงามเริ่มถดถอย ในขณะที่หนังเน้นเรื่องความสวยงามของรูปร่างสุดๆ ขนาดที่เราคล้อยตามได้ว่า Margaret Qualley เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก หรือสวยที่สุดที่เราเคยพบเจอมา แบบที่ใครก็ห้ามใจยากที่จะไม่ตกหลุมรักนักแสดงคนนี้ หรือถ้ารักอยู่แล้วจะยิ่งรักหัวปักหัวปำ
สิ่งที่หนังเน้นมากๆ คือ Margaret Qualley มีรูปร่างที่เพอร์เฟ็กต์แค่ไหน และ Demi Moore กำลังมุ่งไปสู่จุดที่อัปลักษ์แค่ไหน (ทั้งที่ตอนแรกก็สวยมากเลยนะครับ แค่หย่อนยานตามกาลเวลาและเจ้าตัวไม่พอใจในตัวเอง) ซึ่งทั้ง beauty กับ ugliness เราจะได้เห็นมันตั้งแต่ระดับตะลึง จนมาถึงเฉยๆ กับมัน จนถึงเอียนเพราะเห็นเยอะเกินไป + เห็นแบบ close up เกิน จนถึงตะลึงได้กว่าเดิมอีก
และในตอนที่เราคิดว่าหนังจะหยุดแค่นี้ ไม่ครับ ไม่ หนังเดินหน้าเสียดสีประเด็นความงามด้วยความบ้าที่ไปสุดกว่าเดิม โดยไม่มีทางรู้เลยว่าจะไปหยุดที่ตรงไหน
นอกจากนี้แม้หนังมีความ materialize ผู้หญิงใน Hollywood ค่อนข้างเยอะด้วยการเปลือยให้เห็นใกล้ๆ ชัดๆ ทั่วถึง และบ่อยๆ (ด้วยความจงใจเน้นเพื่อเสียดสีประเด็นนี้) แต่เมื่อประเด็นเหล่านี้ถูกเล่าโดยผู้กำกับหญิงที่เขียนบทเองด้วย ประเด็นตรงนี้เลยเล่าออกมาได้เต็มที่ ทั้งด้านบท และด้านการถ่ายทำ
ดูจบยกให้เป็นหนังแนว Body Horror ที่ชอบที่สุดเรื่องนึงเลยครับ และใครที่ชอบหนังสยองขวัญที่สร้างอารมณ์ร่วมได้ดีผมแนะนำ The Substance อย่างยิ่ง เพราะเริ่มมามันอาจจะดูเป็นไซไฟประมาณ Black Mirror แต่ยิ่งดูความสยองยิ่งสุดขึ้นเรื่อยๆ ถ้านึกภาพไม่ออกว่าความรู้สึกระหว่างดูเป็นยังไง ให้นึกถึงตอนที่ได้เห็น Offspring ครั้งแรกใน Alien: Romulus ความรู้สึกแบบนั้นคูณจำนวนสิบยี่สิบครั้งเข้าไปครับ
หนังเข้าโรง 26 กันยายนนี้ (พรุ่งนี้)
ไม่แนะนำคนที่แพ้หนังแหวะ หนังโหด เลือด อวัยวะ กับคนที่เซ้นส์ซิทีฟกับด้านภาพ เพราะหนังเรื่องนี้โหดจัดรัสเซียมากๆ แต่ถ้าใครที่ชอบหนังแบบสุดโต่งประมาณ Raw หรือ Possessor กับ Infinity Pool ของค่าย Neon น่าจะชอบเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องบอกว่าทุกเรื่องที่ว่ามาเบาไปเลย เพราะ The Substance สุดกว่ามาก
ทำให้อยากจับตามองว่าจากนี้ ผู้กำกับ Coralie Fargeat จะทำหนังเรื่องอะไรแนวไหนต่อไปครับ ยอมใจในฝีมือและวิชั่นจริงๆ
The Substance สวยสลับร่าง หนังที่ไม่ได้เรียกว่าแค่ “ทำถึง” แต่บอกได้ว่า “ทำเกิน” ตั้งแต่โครงเรื่อง และคติสอนใจดั่งละครคุณธรรม และขยี้ความรัก,โลภ, โกรธ, หลง, ลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข, กฎของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมไปให้สุดจนถึงท้ายเรื่อง ระทึกทั้งเสียงและมุม Close Up ต่าง ๆ , ฉากเปลือยและเลือดที่คิดว่าน่าจะติดเรต จนถึงเซอไพรส์ที่เล่นเอาตกใจกันได้ทั้งโรง…
หนังเรื่องนี้ตั้งแต่ได้ดูตัวอย่างก็คิดว่ามันน่าจะสนุก พล๊อตจากตัวอย่างมันอธิบายง่าย ๆ ได้ว่า นางเอกเป็นดาราดังค้างฟ้าแต่วันนึงแก่ลงทุกอย่างกำลังจะหายไป บังเอิญมีคนเสนอเงื่อนไขว่า มียาตัวนึงที่จะทำให้มีอีกร่างที่สวยกว่า, แจ่มกว่า, ดีกว่า แค่ต้องสลับร่างไปมาระหว่างร่างแก่กับร่างสาวทุก ๆ 7 วัน เรื่องที่เหมือนจะง่ายแบบนี้ ใครจะไม่อยากคว้าไว้ในเมื่อไม่อยากทิ้งความสุขสรรเสริญจากสังคมและคนในวงการ แต่นั่นย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนที่เข้าถึงกฎแห่งความเท่าเทียมกัน (Law of Equivalent Exchange)…
พล๊อตแบบนี้เป็นใครก็เดาได้ว่าถ้าได้กลับไปมีร่างที่ดีกว่าแม้มีเงื่อนไขอะไรก็ตามเป็นใครก็ไม่อยากกลับไปในร่างเดิม ซึ่งต่อให้ต้องช่วงชิงทุกอย่างมาแม้แต่ตัวเองก็ยอมทำ ประเด็นนี้ยังไงในเรื่องมีเซอร์ไพรส์ในการขยี้บทตรงนี้มาก ๆ ในโรงอยากให้ไปดูด้วยตัวเองกันมากกว่า…
แต่ส่วนที่ชื่นชมเลยคือการแสดงของ Demi Moore และ Margaret Qualley ที่เล่นได้โหดทั้งการแสดงที่เข้าถึงบท ในตัวเอกที่ต้องแบ่ง(แย่ง)เวลาซึ่งกันและกัน และฉากเปลือยที่คิดว่าผู้ใหญ่ถ้าจะพาเด็กไปดูอาจจะต้องแนะนำ…
Demi Moore ในบทดาวค้างฟ้าที่กำลังจะร่วงโรยตามเวลา แม้จะอายุ 61 แล้ว แต่ยังรักษาหุ่นและความสวยไว้ได้เป็นอย่างดี ในเรื่องจะให้เห็นถึงความคล่องในการทำรายการออกกำลังกายซึ่ง ท่าทางและความคล่องแคล่วนั้นทำได้ดีมาก แม้ในหนังจะทำให้เห็นว่าวัยแบบนี้อาจจะดึงเรตติ้งรายการไม่ได้เท่าหาดาราคนใหม่มาแทน รวมถึงบทกลางเรื่องจนถึงท้ายเรื่องที่เล่นได้โหดมาก ๆ ในเรื่องของความดราม่าและฉากแอคชั่น รวมถึงสีหน้าต่าง ๆ ที่แค่เห็นหน้าเฉย ๆ ก็สื่อถึงอารมณ์ได้ดี…
Margaret Qualley นักแสดงที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นดาวจรัสแสงในเรื่องนี้ ซึ่งไม่แน่ใจว่ารีทัชหรือตกแต่งอย่างไรก็ตาม แต่ภาพรวมคือออกมาเป็นคนที่เพอร์เฟ็กต์เป๊ะทั้งหน้าและหุ่นแบบสุด ๆ อีกทั้งการถ่ายทำยังเน้นไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจนหุ่นและผิวเนียนเว่อร์มาก จนคิดถึงตอนถูกเอาหน้าไปใช้ในเกม Death Stranding ในตัวละคร Mama อีกทั้งบทแสดงที่ต้องแอคชั่นต่าง ๆ ก็ทำได้ดีและโหด(หรือสยอง)จนรู้สึกกลัวตาม…
อีกคนที่อยากพูดถึงคือ Dennis Quaid ที่เป็นตัวหลักของเรื่อง ที่การแสดงทุกอย่างดูโอเวอร์แอคติ้งไปหมดแต่กลับดูธรรมชาติ เข้าถึงบทของคนที่มีทั้งความบ้าและเกรี้ยวกราดกระหายเรตติ้งรายการในเครือของตัวเอง และบทของเจ้าของรายการที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ และสามารถปั่นหัวตัวละครหลักสองคนข้างต้นจนเกิด โทสะ, โมหะ และโลภะตามได้…
ในเรื่องใช้ฉากแสดงน้อยมาก ๆ แต่สิ่งที่ชอบก็คือเรื่องของการวางองค์ประกอบของภาพ โดยเฉพาะเรื่องของ Perspective ที่วางองค์ประกบภาพแบบสมดุลแบบสมมาตร และสมดุลแบบอสมมาตร (Symmetrical Balance และ Asymmetrical Balance) ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ นี่แทบจะรู้สึกเลยว่าจงใจในการวางฉากและองค์ประกอบของฉากมาก ๆ ..
มุมกล้องที่พอเล่น Perspective กับฉากแล้ว ก็มาเล่นกับตัวแสดง บางฉากที่เป็นมุมมองของคน ก็จะใช้ Perspective แรง ๆ หรือ Close Up เข้าใกล้นักแสดงหรือวัตถุจนแทบจะเต็มจอจนรู้สึกอึดอัดตามอารมณ์ที่หนังพยายามใส่มาในบางช่วง…
ความบ้าของเนื้อเรื่องที่เรียกว่าบ้าโคตร ๆ ในเรื่องของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวละคร คืออะไรที่เกิดขึ้นแบบปกติที่เราเคยเจอมาในเรื่องนี้ทำให้มันดูเว่อร์กว่าไปอีกขั้นนึงหรือหลาย ๆ ขั้นเสมอ ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่แบบขยี้แล้วขยี้อีกจนไม่เหลืออะไรเลย…
เรื่องเสียงประกอบหนังที่ ใส่เอฟเฟคของเสียงต่าง ๆ ให้ชัดและดังขึ้นเมื่อมีการ Close Up เข้าหาสิ่งนั้น ๆ จนรู้สึกกลัว เหมือนทุกอย่างมันใกล้และชัดถึงตาและหูของคนดูไปหมด…
แต่ที่ชอบมาก ๆ คือการวางจังหวะของเรื่องที่มีเหตุให้ตัวละครต้องตัดสินใจ หรือคิดทบทวนหลายครั้ง ซึ่งจังหวะนี้จะเหมือนกับชานพักบันได ที่เราขึ้นหรือลงเหนื่อย ๆ จากเนื้อเรื่องที่ระทึกมาให้ได้คิดตามตัวละครว่า ถ้าเป็นเราเมื่อเจอสถานการณ์นี้เราจะคิดยังไง หรือทำให้เราลุ้นกับตัวละครว่า คิดให้ได้สิ ๆ ก่อนที่จะส่งต่อไป จนเนื้อเรื่องโกลาหลขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบอยากรู้ว่าปลายทางมันจะไปสุดที่ตรงไหน…
ท้ายที่สุดสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำก็น่าจะทำให้เราเห็นภาพละครสอนใจได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น โลกธรรม 8 (ธรรมชาติของโลกที่ครอบงำสัตว์โลก และต้องเป็นไปตามนี้), อนิจจา วต สังขารา (สังขารธรรม ที่พูดถึงความไม่เที่ยงของร่างกายและสังขาร), ความโลภจนเกินตัวจนต้องโกงแม้กระทั่งตัวเอง…
หรือแม้แต่ กฎของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน (Law of Equivalent Exchange) ที่ว่า…
“มนุษย์ไม่สามารถได้อะไรมาโดยไม่สูญเสียสิ่งใดไปเลย การที่จะได้อะไรมานั้น จำเป็นจะต้องจ่าย สิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกันออกไป นี่ก็คือ “กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม” ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า มันเป็นสัจจะของโลก” (อ้างอิงจาก Fullmetal Alchemist ที่ทำให้ต้องเสียแขนขวาและขาซ้ายของตัวละครตัวนึง) ก็มีในเรื่องนี้ขยี้จนสุดเช่นกัน…
ท้ายที่สุด The Substance สวยสลับร่างเป็นหนังที่สนุก, ระทึก, นักแสดงสวย, บ้าในเนื้อเรื่อง, ขยี้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วก็ยังขยี้อีกจนสุด แถมยังได้แง่คิดอีกเพียบเลยจากเรื่องนี้ครับ…
The Substance สวยสลับร่าง จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 26 กันยายนนี้…
ใครอินกับฉากล็อกเกอร์ลับในเนื้อเรื่องไปถ่ายรูปกันได้ที่ SF World Cinema, Centralworld และ Major Cineplex รัชโยธินนะครับ…
*Disclosure: เนื้อหานี้ เขียนทำจากประสบการณ์ตรงของผู้ชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง…
ขอบคุณ GDH (GDH559) ที่ให้เกียรติเชิญชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในรอบสื่อฯ ครับ…
#TheSubstance #สวยสลับร่าง
ภาพยนตร์ของคน (อยาก) งามย้อนวัย ที่สยดสยองที่สุดแห่งปี
1) เมื่อวานบอยไปชมรอบสื่อหนังเรื่องนี้ จากทาง GDH เป็นผู้นำเข้ามาฉายในไทย ยอมรับว่าหนังทำงานข้างในหนักมากกับตัวบอย และสยดสยอง ชนิดที่เรียกว่า ถ้าใครอยากเข้าไปชมความงาม หนังเรื่องนี้ เล่าเรื่องความงามออกมาได้เห็นเนื้อหนัง และทะลุไปถึงข้างใน น่ากลัวจนขนลุก จบเรื่อง ค่ายหนังถึงกับต้องแจกยาดมให้สื่อมวลชน (ถ้าไม่ชอบเลือด และภาพตับไตใส้พุง ความเละของเหล่าอวัยวะต่างๆ อย่าไปดูครับ มีอ้วกแน่นอน
2) หนังว่าด้วยเรื่องราวของอดีต superstar สาวสวย ที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาอย่าง ‘อลิซาเบธ สปาร์คเกิล’ (เดมี่ มัวร์) เป็นอดีตดาราดังแถวหน้าที่เคยเจิดจรัสในวงการบันเทิง แต่ตอนนี้เธอมีอายุมากขึ้นจนถูกฮาร์วี่ (เดนนิส เดวด) หัวหน้าสถานีเขี่ยทิ้งจากรายการออกกำลังกายซึ่งเป็นอาชีพสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่ แต่ในภาวะที่สิ้นหวัง อลิซาเบธได้พบกับ ‘THE SUBSTANCE’ สารมหัศจรรย์ที่อ้างว่าจะสามารถปลดปล่อยตัวเธอในเวอร์ชันที่สมบูรณ์แบบกว่าออกมาได้ เธอตัดสินใจฉีดมัน แล้วก็ได้ร่างใหม่เป็นสาวสวยสะพรั่งวัยยี่สิบกว่าชื่อว่า ‘ซู’ (มาร์กาเร็ต ควอลลี่ย์) กฎสำคัญมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ อลิซาเบธและซูต้องแบ่งเวลาในการใช้ร่างกัน หนึ่งอาทิตย์สำหรับร่างเก่า หนึ่งอาทิตย์สำหรับร่างใหม่ ทุกอย่างดูน่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อการแบ่งเวลาของทั้งสองเริ่มไม่เป็นไปตามกฎข้อนี้
3) สิ่งที่หนังนำเสนอเต็มไปด้วยสัญญะของสัจธรรมเรื่องความงามและชีวิตของมนุษย์ ผ่านการเล่าทาง Cinematography อย่างมีชั้นเชิง ทำให้เรามีมุมมองความงามที่ชัดเจนมากขึ้นผ่านหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะในเชิงสีสัน, มุมภาพ, การให้คุณค่ากับองค์ประกอบของแต่ละฉาก ที่พยายามจะขับเคลื่อนปัญหาการเสพติดความงามของมนุษย์ว่ามันทำร้ายเรามากแค่ไหน
4) หนังใช้การ Close-up ใน shot ซ้ำๆที่ชวนดูอึดอัด ให้เห็นเนื้อหนัง อวัยวะมนุษย์ และอาหาร ที่แม้จะสวยแค่ไหน ก็ดูสยดสยอง เพื่อให้เราเห็นว่า สิ่งที่เป็นสังขารที่ว่าสวยงาม จริงๆแล้ว ถ้าเรามองมันดีๆ มันก็เป็นแค่ “ส่วนประกอบให้เรามีชีวิต เป็นรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน ที่ประกอบร่างเป็นเราในเชิงกายภาพ” ที่ไม่ได้งดงามอะไรขนาดนั้น มีแต่มนุษย์ที่ไปจับจดให้คุณค่ากับมัน การ Zoom เป็นเหมือนการเน้นย้ำคุณค่าของสิ่งที่มนุษย์ให้ความสำคัญ และทำให้ร่างกายของคนเป็นเหมือน ‘ตัวแสดงเอก’ ของเรื่องนี้ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเล่าเรื่องในหนังทั้งหมด
5) การใช้ภาพทางเดินโถงยาวๆ หรือเส้น Perspective พุ่งเข้าหาตัวแสดงซ้ำๆ ก็บอกเล่าถึงชะตากรรมของตัวละครที่กว่าจะเดินทางไปถึงความสำเร็จของชีวิต การได้รับการยอมรับ และการจะทำให้ตัวเองสวยที่สุดนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบาก เป็นการเดินทางที่ต้องสั่งสมประสบการณ์และใช้เวลาในทุกๆย่างก้าวที่ตัวละครเลือกเดิน ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆนัก
6) จะงามแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องแก่ชรา และตกกระป๋อง มีคนรุ่นใหม่ที่สวยกว่า สดกว่า และตอบโจทย์มากกว่าในการทำภารกิจของช่วงวัยรุ่น และวัยทำงาน ทดแทนวัยชรา ที่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องพัก ต้องหยุดหน้าที่ ไม่มีวันฉุดรั้งเวลาของเราได้สำเร็จ สัจธรรมของมนุษย์ ไม่มีคำว่าตลอดไปหรอก
7) สิ่งที่เราหลงเหลือทิ้งไว้คือ ประวัติศาสตร์ความทรงจำของความสำเร็จในอดีต ที่สร้างความภูมิใจ และส่งต่อความสุขอันน่าจดจำนั้นมายังปัจจุบัน แต่ในที่สุด เราก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความจริงของความงามที่ร่วงโรย และไม่มีวันหวนกลับ
8 ) สวยสมวัยและปลอดภัย นั้นดีที่สุด สบายใจที่สุด ไม่ว่าจะนวัตกรรมใด การศัลยกรรม การใส่สิ่งแปลกปลอมใดๆ เข้าไปในร่างกาย ทุกอย่างมีผลกับเราให้เราสวยขึ้นก็จริง แต่จริงๆแล้ว มันก็อยู่กับเราแค่ชั่วคราวในระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เรางาม ก็งามได้ตามสั่ง และมีวันหมดอายุขัยเสมอ
9) หนังเรื่องนี้มันพูดเรื่องศาสนาพุทธ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยหลัก “ไตรลักษณ์” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงจำไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรยั่งยืน และไม่มีอะไรตลอดไป ยิ่งเรายึดติด ความยึดติดนั่นแหละที่จะทำให้เราเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่มีวันพบความสุข เพราะเราไม่รู้จักปล่อยวางในความจริงที่ว่า “สังขารไม่เที่ยง และเราไม่อาจห้ามความจริงของชีวิต คือ การจากลากับทุกสิ่ง แม้กระทั่งกับร่างกายของเราเองก็ตาม”
10) คนเรา เวลาที่แก่ชรา Self-Esteem เราตกกันหมดแหละ ทางจิตวิทยาเราจะไม่มั่นใจในตัวเอง เหมือนตัวละครในเรื่อง ที่อยู่ดีๆก็ตกอยู่ในจุดที่หลงลืมคุณค่าของตัวเอง ไม่กล้าที่แม้กระทั่งจะออกจากบ้านไปหาเพื่อนร่วมรุ่น เพราะคิดว่าตัวเองไม่สวย ไม่ดีพอ แต่จริงๆ ความงดงามในตัวเรา ไม่ได้มีแค่ “ภายนอก” แต่ภายในตัวตนของเราต่างหาก ที่เป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหา และไม่มีกาลเวลาขโมยจากเราไปได้ จงให้คุณค่ากับความงามภายใน และเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเอง ในวันที่สังขารไม่งามแล้ว ตัวเรายังคงเป็นคนมีคุณค่าเสมอนะ คุณค่าของตัวเราไม่เคยลดลงไปเพราะแค่ความงามเลย
“เลิกผูกคุณค่าของชีวิตแขวนไว้กับความงามอันอมตะ แล้วชีวิตจะหาความสุขได้ง่ายขึ้น อยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเข้าใจ และปล่อยวางได้ดีขึ้น”
หนังฉายจริง 26 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์
(ย้ำว่า สยดสยองมาก ถ้าใจไม่ถึง อย่าดู!)
In Good Hands 2 (2024) ฝากรักไว้ให้ดูแล 2
Illusions for Sale (2024) เทคนิคขายฝันของเจเนอเรชั่นโซอี้
The Death of Dick Long (2019) ไอ้หำยาวแห่งความตาย