เรื่องย่อ : The Neighbors (2012) อำมหิตจิตข้างบ้าน ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ชาวบ้านในคฤหาสน์ต้องหวาดกลัวเมื่อมีเด็กสาวคนหนึ่งถูกฆาตกรรม พวกเขาสงสัยว่าเพื่อนบ้านของตนเป็นผู้ก่ออาชญากรรม และการต่อสู้ก็ปะทุขึ้นเพื่อปกป้องเหยื่อรายต่อไป หลังจากที่มีเด็กหญิงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมในเขตบ้านของคนที่มีฐานะ ทำให้หลายๆครอบครัวรวมถึงพ่อแม่อย่าง ซองคยองฮี (ยุนจิน คิม) และ อันฮยอกโม (มา ดง ซอก) กับลูกสาวของพวกเขา ยู ซูยอน (คิม แซ-รน) ตกอยู่ในความหวาดกลัวและระแวงอย่างมาก The Neighbors (2012)
เนื่องจากตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถระบุตัวฆาตกรได้ ทำให้ผู้ก่อการร้ายยังคงลอยนวลอยู่ ซองคยองฮีกับอันฮยอกโมเกิดข้อสงสัย และคาดว่าผู้คนรอบด้านหรือเพื่อนบ้านของพวกเขาอาจจะเป็นฆาตกร พวกเขายิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือการเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งกลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเป้าหมายของฆาตกรเป็นรายต่อไป จึงพยายามปกป้องตัวเองและระวังไม่ให้ลูกๆต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอันตราย และตามหาฆาตกรตัวจริงมารับผิดชอบเรื่องเลวร้ายเพื่อจบสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวนี้
The Neighbors (2012) นึกถึงเกาหลีใต้ตอนนี้คงต้องนึกถึงฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตเป็นลำดับแรกเลย เพราะเรื่องย่อของ The Neighbors ก็คือเด็กสาวคนหนึ่งถูกฆาตกรรมยัดใส่กระเป๋าเดินทาง โดยที่แม่เลี้ยงรู้สึกผิดเป็นอย่างมากเพราะเธอเกิดอุบัติเหตุจนไม่ได้ขับรถไปรับ และผลพวงจากการฆ่าครั้งนี้ทำให้ฆาตกรต้องฆ่าคนอีกหลายคนโดยที่เหล่าเพื่อนบ้านในอพาร์ทเมนท์ต่างสงสัยในพฤติกรรมของฆาตกรแต่ดันเลือกที่จะเก็บเงียบไม่บอกใครด้วยความเห็นแก่ตัว
(+) พูดถึงคอนเซปของหนังมันน่าสนใจตรงที่เขาหยิบประเด็นเรื่อง ‘ชุมชนรูดซิปปาก’ คือทุกคนต่างเห็นแก่ตัวเอง บางทีเจอเรื่องน่าสงสัยก็เลือกจะเก็บเงียบเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวหรือบางคนก็กลัวตัวเองเดือดร้อน มันสะท้อนถึงหมู่บ้านในเมืองสมัยนี้ที่ต่างคนต่างอยู่ ผมยังคิดเล่น ๆ เลยว่าเกิดเพื่อนบ้างผมมีคนยิงกันตาย เราได้ยินเสียงปืน เราอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ แล้วก็ปลอบตัวเองว่าเดี๋ยวก็คงมีคนอื่นแจ้งความ ตามหลักจิตวิทยาคนหมู่มากที่จะต่างคนต่างผลักภาระความรับผิดชอบให้ผู้อื่น (ต่างจากการเห็นเหตุการณ์คนเดียว เราจะถูกบังคับให้ช่วยเหลือเพราะไม่สามารถผลักความรับผิดชอบให้ใครได้)
(-) ปัญหาของหนังมันอยู่ที่เหตุจูงใจของแต่ละคนมันช่างไม่ make sense เอาเสียเลย ยกตัวอย่างเช่น แม่เลี้ยงที่ลูกเพิ่งถูกฆาตกรรมเห็นเลือดท่วมบันไดตึกแต่กลับนิ่งเฉยซะอย่างนั้น, หรือคนขายกระเป๋าที่เพิ่งขายกระเป๋าแบบเดียวกับที่ฆาตกรใช้ก็เลือกเงียบไม่ให้ข้อมูลตำรวจเพราะกลัวร้านขายของไม่ได้, เด็กส่งพิซซ่าที่รู้สึกผิดปกติเกี่ยวกับลูกค้าก็เลือกจะเงียบเพราะไม่ใช่เรื่องตัวเอง, รวมถึงรปภ.ที่ขนาดเจอหลักฐานชวนสงสัยของฆาตกรก็ยังนิ่งเงียบเพราะตัวเองหนีคดีมาจะครบอายุความ 15 ปีแล้ว
(-) ยิ่งการที่หนังบ้าคอนเซปจะขายประเด็น ‘ชุมชนรูดซิปปาก’ The Neighbors (2012) ยิ่งทำให้การตัดตำรวจออกไปจากหนังโดยสิ้นเชิงเป็นสิ่งที่ฉุดให้หนังย่ำแย่ลงอย่างมาก การตัดตำรวจออกไปมันทำให้ฆาตกรลอยนวลได้อย่างเหลือเชื่อมาก เพราะตำรวจสามารถสืบคดีจากการหาร้านที่ขายกระเป๋าแบบเดียวกับฆาตกรซึ่งไม่ได้ยากเย็นเท่าไร, หรือเช็คกล้องวงจรปิดจุดที่เด็กหายตัวไป ซึ่งมันมีฉากหนึ่งในหนังที่เคลื่อนกล้องให้เห็นชัดเจนว่ากล้องวงจรปิดจับภาพรถของฆาตกรตอนรับเหยื่อได้ พอไม่มีตำรวจสืบคดียิ่งทำให้หนังไม่น่าเชื่อถืออย่างแรง
(+) ค่อนข้างชอบดราม่าระหว่างแม่เลี้ยงที่เสียลูกเลี้ยงในขณะที่ยังไม่เข้าใจกัน ทั้งสองคนต่างพยายามจูนเอาใจหากันแต่แคล้วคลาดกันตลอด มันกลายเป็นว่าแม่เลี้ยงต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดจนกลัวเด็กสาวมาหลอกหลอน แต่สุดท้ายเธอก็ได้พยายามเอาชนะใจตัวเองและเข้าใจเด็กสาวในที่สุด จนส่งผลต่อยอดให้เธอชดเชยความผิดตัวเองด้วยการปกป้องเด็กสาวรุ่นเดียวกับลูกเลี้ยงของเธอ
(-) เกลียดการจงใจทริลเลอร์ช่วงท้ายเรื่องมาก ไม่รู้ที่เกาหลีใต้เขามีหลักสูตรนี้หรือเปล่า หนังประเทศนี้หลายเรื่องเลยชอบทำตอนจบให้กลายเป็นระทึกขวัญแบบเฟค ๆ ขึ้นมาขัดกับทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะทำหนังมานิ่งแค่ไหนตอนท้ายก็ต้องไล่ล่าราวกับเป็นภาคบังคับ แล้วการให้นกคาบเหล็กไปเกี่ยวสายไฟจนไฟดับทั้งเมืองนี่เป็นอะไรที่ต้องยอมใจผู้กำกับเลยถ้าอยากจะให้มืดทั้งเมืองเพื่อขายความทริลเลอร์ขนาดนั้น (ยังไม่นับว่าเหยื่อที่ถูกมัดกับเก้าอี้สามารถปลดพันธนาการตัวเองได้อย่างน่าเหลือเชื่อมาก)
(-) การใช้ภาพหลอนแทนคนตายถึงสองคนในหนังนี่มันเหมือนถูกจับยัดมากมาย สารภาพว่านั่งดูอยู่พักใหญ่ถึงจะเพิ่งเอะใจว่าคนในห้องรปภ.เป็นภาพหลอนในหัวที่มีแค่รปภ.เห็นคนเดียว คือกลายเป็นหนังใช้ภาพหลอนเพื่อบรรยายความคิดตัวละครซะอย่างนั้นเลย The Neighbors (2012)
(-) ไม่ได้ซีเรียสที่ฆาตกรปราศจากการอธิบายแรงจูงใจสักเท่าไร แค่รู้สึกว่ามันทำให้หนังตื้นเขินมาก ยิ่งเมื่อไปรวมกับการอธิบายว่าอยู่ดี ๆ ฆาตกรก็เกิดกลัวเหยื่อเป็นผีมาหลอกหลอนจนต้องเปิดไฟและไม่กล้านอนคนเดียวยิ่งตลกกับสิ่งที่หนังจะเล่าเพราะดันให้ฆาตกรต้องการจะลงมือฆ่าเด็กเพิ่มอีก ตลกตรงที่ฆาตกรจะโรคจิตก็ต่อเมื่อเจอความมืดเนี่ยแหละ โดยเฉพาะที่ห้องเปิดไฟสว่างโร่แล้วอยู่ดี ๆ แขกก็ดันปิดไฟห้องเพราะบอกสว่างไปนี่มันจะจงใจเกินไปไหม
ในภาพรวมแล้วแม้หนังจะมีคอนเซปที่ดีมากขนาดไหน แต่การเล่าเรื่องที่โคตรแย่ก็ทำให้หนังไม่น่าสนใจ ไม่น่าเชียร์ให้ดูคนต้องไปหามาดูเอาเสียเลย
Hwi Kim ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ก็เคยเป็นคนเขียนบท Midnight FM มาก่อน เรื่องนั้นก็คอนเซปดีมากแต่เล่าเขียนบทหนังได้ห่วยแตกมากโดยเฉพาะการขายระทึกขวัญที่พล็อตโหว่และโคตรไม่ make sense พอมาทำ The Neighbors ก็ยังเหมือนเดิมคือคอนเซปดีเล่าเรื่องห่วยและระทึกขวัญจงใจจนแย่
ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์น่ารักๆ สบายๆ และสนุกสนาน โดยนำเสนอเรื่องราวชีวิตของมนุษย์ที่เรามองข้ามไปทีละเรื่องในแต่ละตอน และซีรีส์ยังสามารถพลิกเรื่องราวเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องราวดีๆ ได้อีกด้วย…ทำในสิ่งที่ “ชีวิตปกติแบบใหม่” The Neighbors (2012) ล้มเหลวได้อย่างลงตัวพอดี นั่นคือการสร้างตัวละครที่น่าสนใจซึ่งเราใส่ใจ เรื่องราวดีๆ วิจารณ์บางแง่มุมในชีวิตประจำวันที่ไม่ค่อยดีนัก และปรับกรอบชีวิตประจำวันของเราใหม่ ในขณะเดียวกันก็จัดการให้ตลกได้และไม่ตกอยู่ในโครงเรื่องที่ตัดสินคนอื่นมากเกินไป โอเค ซีรีส์เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ซีรีส์แนวตลกแห่งศตวรรษ แต่ซีรีส์เรื่องนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ และสมควรได้รับเวลาและความเอาใจใส่ในการพัฒนา ฉันอ่านบทวิจารณ์ตอนนำร่องที่แย่ๆ มาบ้าง และฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับบทวิจารณ์ส่วนใหญ่ นี่เป็นซีรีส์ที่ดี นักแสดงก็น่ารักและตลก เรื่องราวดี และมีมุกตลกมากมาย สนุกมาก…มาสนับสนุนซีรีส์เรื่องนี้กันเถอะ!
ฉันไม่มีความหวังมากนักสำหรับอนาคตของ The Neighbors แน่นอนว่ามันตลกสุดๆ Toks Olagundoye (ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน) นั้นยอดเยี่ยมมาก และความรู้สึกแปลกๆ ของรายการและมุกตลกที่ยอดเยี่ยม (เช่นการจัดกลุ่มเอเลี่ยนที่ถือพาย) ทำให้มันเป็นรายการตลกใหม่ที่ดีที่สุดของฤดูกาลนี้ แต่มีคนจำนวนมากเกินไปที่ไม่ชอบมัน คำวิจารณ์นั้นแย่มาก (ตรงกันข้ามกับคำชมเชยที่แทบจะทุกคนมอบให้กับ Ben และ Kate ที่แย่) และคะแนนเฉลี่ยใน IMDb และ TV.com นั้นต่ำ นี่คือ Better Off Ted อีกครั้ง มันตลกสุดๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีเพียงกลุ่มคนพิเศษของเราเท่านั้นที่ดูเหมือนจะตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ ฉันแค่เตรียมใจไว้สำหรับการยกเลิกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหวังว่า Toks และ Simon Templeman ที่ตลกไม่แพ้กันและไม่ค่อยมีใครรู้จักจะโชคดีกับอาชีพในอนาคตของพวกเขา
3rd Rock from the Sun เป็นรายการที่ยากจะติดตาม The Neighbors ทำได้ดีทีเดียว แต่ใช้ไหวพริบและจังหวะเวลาแทนความบ้าระห่ำและตลกโปกฮาเพื่อสร้างเสียงหัวเราะ ซึ่งทำให้รายการมีเสียงหัวเราะตลอดเวลา แต่ไม่ตลกจนเกินไป การตั้งชื่อเอเลี่ยนทั้งหมดตามฮีโร่กีฬาถือเป็นการเลือกที่สร้างสรรค์ เพราะจะไม่มีวันหมดมุกตลก (เด็กน้อยชื่อ Dick Butkus?) และความจริงที่ว่าเอเลี่ยนเป็นพวกเชยๆ ก็ทำให้มุกซ้ำๆ เดิมซ้ำๆ เช่นกัน รวมถึงชุด/เครื่องแบบที่เข้าชุดกันซึ่งทำให้เรานึกถึงเสื้อผ้าสำหรับเล่นกอล์ฟในยุค 1970 The Neighbors (2012)
อีกด้านก็คือ นักแสดงบางคนก็เป็นคนดีมาก ฉันไม่รู้ว่า Toks Olagundoye อยู่ที่ไหนมาจนถึงตอนนี้ แต่เธอมีพลังดาราภาพยนตร์ตัวจริงในบทแม่เอเลี่ยนที่มีเสน่ห์ ฉันชอบการโต้ตอบที่รวดเร็วกับ Simon Templeman สามีเอเลี่ยนที่มีจังหวะการแสดงตลกที่สมบูรณ์แบบและไม่เคยพูดบทดีๆ เลย Jami Gertz และ Max Charles ทำได้ดีพอสมควรในบทผู้ชาย/ผู้หญิงธรรมดาๆ บนโลก แต่ฉันคิดว่าบางทีเนื้อเรื่องอาจจะเปรียบเทียบ
ความธรรมดาที่ไม่ตลกของพวกเขากับมุมมองที่กลับหัวกลับหางของมนุษย์ต่างดาวที่มีต่อมนุษยชาติมากเกินไป นักแสดงเด็กก็ค่อนข้างดีเช่นกัน แม้ว่ารายการจะพึ่งพาความเฉลียวฉลาดของ Ian Patrick เด็กต่างดาวมากเกินไปเล็กน้อย Clara Mamet โดดเด่นในบทวัยรุ่นที่ครุ่นคิด คำนวณอย่างน่ากลัว และเย้ยหยัน ฉันกังวลว่าหลังจากผ่านไปสองสามตอน มุกตลกซ้ำๆ จะเริ่มน่าเบื่อและหมดไอเดีย แต่เปล่าเลย! ฉันเพิ่งดูตอนวันขอบคุณพระเจ้าจบ และถ้าจะว่าไป มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากรายการนี้ค่อนข้างใหม่ ฉันจึงอยากสรุปให้สั้นและกระชับ The Neighbors (2012) ฉันไม่แน่ใจว่าทำไมบางคนถึงให้คะแนนรายการนี้ต่ำมาก เพราะดูเหมือนว่ารายการนี้เขียนและออกแบบมาเพื่อความสนุกสนานอย่างชัดเจน ฉันอยากแนะนำให้ผู้ชมที่มองโลกในแง่ร้ายลดระดับความเป็นคนลงและเพลิดเพลินกับรายการที่เพียงแค่ต้องการจะไร้สาระ สร้างสรรค์ และเชยๆ เล็กน้อย… แทนที่จะดูรายการที่เต็มไปด้วยข้อความล้ำลึกและเต็มไปด้วยการเทศนาแบบหลอกลวงที่เรามักดูกันในปัจจุบัน
ฉันพบว่าตอนนำร่องนั้นค่อนข้างสั่นคลอนในบางจุด แต่ฉันจำไม่ได้ว่ามีตอนนำร่องของรายการใดที่ไม่เป็นเช่นนั้น ตัวละครได้รับการถ่ายทอดออกมาได้ดี ฉันพบว่าการแสดงนั้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับเนื้อหา นอกจากนี้ ยังมีสเปกตรัมที่เหมาะสมเกี่ยวกับวิธีที่รายการจะเชื่อมโยงกับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่และผู้ชมที่อายุน้อยกว่า ดังนั้นจึงมีตรรกะของภาพและเสียงที่สม่ำเสมอซึ่งทำให้รายการดำเนินไปอย่างราบรื่น
ฉันพยายามจะอธิบายให้คลุมเครือที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉันอยากดึงดูดให้คนดูได้ดูมากกว่าจะสปอยล์โดยพยายามสรุปหรือบรรยายให้เหมาะสมด้วยข้อความ มันเป็นซิทคอมแนวสถานการณ์ที่แฝงกลิ่นอายของนิยายวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้ซีเรียสเกินไป และเห็นได้ชัดว่ามีความสนุกสนานมากในการผลิต ฉันพบว่าการเขียนบทนั้นฉลาดเป็นพิเศษในหลายๆ จุด และหัวเราะออกมาดังๆ ในหลายๆ ครั้ง ฉันทำได้แค่หวังว่าอารมณ์ขันและการเขียนบทจะคงอยู่ตลอดทั้งซีซั่น เพราะถ้าสิ่งนั้นเริ่มอ่อนแอลง อาจทำให้แนวคิดทั้งหมดพังทลายไปได้เลย อย่างไรก็ตาม ฉันพบว่ามันเป็นลมหายใจแห่งความสดชื่นที่ดีพอใช้ได้
I Can t Live Without You (2024)
Elevator (2024) โปรเจกต์ลิฟต์ติดรัก
The Magic of Lemon Drops (2024)