เรื่องย่อ : Sicario (2015) ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ดูหนัง Sicario (2015) ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด เจ้าหน้าที่เอฟบีไอผู้มีอุดมการณ์ได้รับคัดเลือกจากหน่วยงานของรัฐบาลให้ช่วยเหลือในการทำสงครามต่อต้านยาเสพติดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในบริเวณชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ในเมืองแชนด์เลอร์ รัฐแอริโซนา เจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI เคท เมเซอร์ และเรจจี้ เวย์น นำการจู่โจมเข้าไปในเซฟเฮาส์ของโซโนรา คาร์เทล ซึ่งพวกเขาค้นพบศพเน่าเปื่อยหลายสิบศพที่ซ่อนอยู่ในกำแพง ด้านนอกมีกับดักระเบิด
สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคน หลังจากการจู่โจม Kate ได้รับการแนะนำให้เข้าร่วมและเข้าร่วมกองกำลังเฉพาะกิจที่ดูแลโดยเจ้าหน้าที่ CIA Matt Graver และ Alejandro Gillick ผู้เป็นความลับ อดีตอัยการชาวเม็กซิกันที่ผันตัวมาเป็นมือสังหารที่ได้รับการฝึกจาก CIA ภารกิจของพวกเขาคือการกวาดล้างและจับกุมผู้หมวดโซโนรา มานูเอล ดิแอซ ซึ่งปัจจุบันปฏิบัติการและซ่อนตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ทีมงานซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเดลต้าฟอร์ซ รองผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ และบุคลากรของ CIA เดินทางไปยังเมืองซิวดัด ฮัวเรซ ประเทศเม็กซิโก เพื่อส่ง Guillermo น้องชายของ Díaz เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ขณะข้ามชายแดนเอลปาโซ–ฮัวเรซ ทีมถูกซุ่มโจมตีโดยมือปืนกลุ่มพันธมิตรระดับต่ำ ซึ่งชาวอเมริกันสังหารอย่างรวดเร็ว ในระหว่างการดวลปืน เคทถูกบังคับให้สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจสหพันธรัฐ และถูกรบกวนอย่างเห็นได้ชัดจากความรุนแรง ย้อนกลับไปใน
อเมริกา อเลฮานโดรทรมานกิลเลอร์โม และได้รู้ว่ากลุ่มค้ายาใช้อุโมงค์ใกล้เมืองโนกาเลส รัฐโซโนรา เพื่อลักลอบขนยาเสพติด ในขณะเดียวกัน เคทเผชิญหน้ากับแมตต์ ซึ่งเผยให้เห็นว่าภารกิจที่แท้จริงคือการขัดขวางกิจการค้ายาของดิแอซ เพื่อที่เขาจะได้นำพวกเขาไปหาเจ้านายของเขา ซึ่งก็คือเฟาสโต อลาร์คอน ซึ่งเป็นเจ้าพ่อค้ายา เคทรู้สึกตกใจและขอให้เรจจี้มาร่วมสนับสนุนเธอ ดูหนังออนไลน์
เดอนี วีลเนิฟว์
Black Label Media
Thunder Road
Emily Blunt
Benicio del Toro
Josh Brolin
Jon Bernthal
Daniel Kaluuya
รีวิวหนังเรื่องต่อไป เป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์อาชญากรรมเมื่อ 8 ปีที่แล้ว โดยเนื้อหาของมันพูดถึงกลุ่มเจ้าหน้าที่พิเศษของเอฟบีไอที่มีหลักการซึ่งถูกเกณฑ์โดยหน่วยเฉพาะกิจของรัฐบาลเพื่อโค่นล้มFausto Alarcon เจ้าพ่อยาเสพติดชาวเม็กซิกันที่ทรงพลังและโหดเหี้ยม สำหรับหนังเรื่องนี้เป็นการถ่ายทอดอารมณ์จากเรื่องราวที่ให้รู้สึกตึงเครียด ฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้น ระทึกขวัญ รุนแรงและมืดมนอย่างเข้มข้นจัดและไม่ถึงขั้นเบื่อหน่ายเลย การถ่ายทอดเรื่องราวการทำหน้าที่ของตำรวจที่เต็มไปด้วยความท้าทาย เหน็ดเหนื่อย
ความกดดันและความลำบากอย่างน่าอึดอัดเลย รวมไปถึงเรื่องของยาเสพติดและความโหดร้ายที่ระบาดไปทั่ว การกำกับหนังของVilleneuveที่ได้พัฒนาการกำกับหนังที่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยเสมอ การถ่ายภาพมุมกว้างสำหรับฉากบางตอนที่ทำให้หนังไล่ล่าเรื่องนี้สดใหม่ สำหรับการแสดงของบลันท์ เดล โตโรและโบรลินที่ดูเหมือนทำให้ตัวละครที่เขาเล่นไม่เชื่อถือ แต่กลับถ่ายทอดบทบาทให้รู้ซึ้งถึงจุดประสงค์หลักของตัวละครหลักทั้งสามได้ยอดเยี่ยมมาก
Sicario เคยสร้างความเดือดระห่ำไปแล้วเมื่อปี 2015 ซึ่งในตอนนั้นหนังก็กวาดเสียงชื่นชมจากนักดูหนังไปอย่างมากมาย ในปีนี้ Sicario พร้อมจะปะทุความเดือดอีกครั้ง กับภารกิจใหม่ของ “แมตต์ เกรเวอร์” (จอช โบรลิน) หน่วยกองกำลังเฉพาะกิจของรัฐบาล ที่ต้องร่วมมือกับนายทหารรับจ้าง “อเลฮานโดร” (เบเนซิโอ เดล โตโร) เพื่อปฏิบัติภารกิจสุดเดือดในการปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโซอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เพียงแค่เริ่มต้นมา Sicario ก็โชว์ความเดือดระห่ำทันทีและดูเหมือนว่าความเดือดนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ เสน่ห์จากภาคแรกที่ยังคงมีอยู่ในภาคนี้คือฉากแอ็คชั่นที่โคตรดิบและเถื่อน ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า การยิงปะทะกันจะเกิดขึ้นเมื่อไร! แต่พอเริ่มปะทะกันเท่านั้นแหละ ความเดือดระอุก็บังเกิดทันที ยิงกันหูดับตับไหม้ไม่มีช่วงให้พักหายใจกันเลย
แม้ว่าฉากแอ็คชั่นจะทำได้เดือดเท่ากับภาคแรก แต่สถานการณ์รอบด้านเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าภาคนี้ต่างจากภาคแรกมากคือ เพราะครั้งนี้สภาพแวดล้อมไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอันตรายเท่าภาคแรก นั่นจึงทำให้เหตุการณ์กราดยิงบางเหตุการณ์ในหนังดูขัดแย้งกับสภาพแวดล้อม อีกทั้งหนังยังมีความโอเว่อร์เกินจริงไปในบางเรื่องทำให้ความสมจริงและสมเหตุสมผลขาดหายไปในบางช่วงบางตอน
เส้นเรื่องในภาคนี้ดูง่ายกว่าภาคแรกมาก ไม่มีความซับซ้อนเลยจึงทำให้สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายกว่าภาคแรก แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง ความง่ายนี้ก็เป็นดาบสองคมที่ย้อนมาทำร้ายหนังเพราะทำให้หนังขาดเสน่ห์ความตึงเครียดที่เกิดจากความเคลือบแคลงสงสัยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแบบในภาคแรก
นับตั้งแต่ Traffic (2000) ของโซเดอเบิร์กเข้าฉายกวาดออสการ์ไป 4 รางวัล ก็ไม่มีหนังเรื่องไหนหยิบยกปัญหายาเสพติดชายแดนอเมริกา-เม็กซิโกมาพูดถึงเป็นจริงเป็นจังสักที จนกระทั่งการมาของ Sicario ที่แม้จะหยิบพล็อตชินตาของเจ้าหน้าที่เล่นนอกกฎมานำเสนอ แต่ตัวหนังทำให้เราเชื่อด้วยรูปแบบปฏิบัติการนอกกฎที่สมจริงภายใต้ขอบเขตอำนาจทางทหาร
หนังเล่าเรื่องของ ‘เคท’ (Emily Blunt) เจ้าหน้าที่ FBI ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ความถูกต้องของขั้นตอนต่าง ๆ ได้อาสาร่วมทีมปฏิบัติการทำสงครามยาเสพติดภายใต้คำสั่งของรัฐบาล นำทีมโดย ‘แมตต์’ (Josh Brolin) และ ‘อเลฮานโดร’ (Benicio Del Toro) ซึ่งทีมของพวกเขาไม่ได้เล่นตามขั้นตอนตามกฎหมายแบบที่เธอยึดมั่น
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพรวมของหนังคงต้องบอกว่ามันหยิบเนื้อหาสงครามยาเสพติดเข้มข้นแบบ Traffic มาทำเป็นหนังแนวแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ปฏิบัติการทางทหารแบบ Zero Dark Thirty ซึ่งเป็นการผสมจุดแข็งของทั้งสองเรื่องออกมาได้อย่างกลมกล่อม ชวนให้เห็นภาพปัญหายาเสพติดชายแดนที่เป็นภัยร้ายแรงต่ออเมริกามายาวนาน ภารกิจในหนังกล่อมจนเราเชื่อว่ามันเป็นหนทางที่จะสามารถเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้ถ้าหากเรากลายเป็นผู้ควบคุมกฎ
บทหนังทำได้ดีในการเล่นกับกรอบการทำสงครามยาเสพติดใต้ดินโดยอิงความเป็นจริงบนโลกมนุษย์ (ไม่ได้แฟนตาซีเล่นนอกกฎชนิดไร้กฎเกณฑ์) มันไม่ใช่หนังประเภทที่บอกว่าจะเปิดสงครามกลางเมืองกวาดล้างพ่อค้ายาเสพติด ซึ่งจะส่งผลกระทบกระเทือนความมั่นคงอย่างแน่นอน แต่มันมีขั้นมีตอนนอกกฎหมายที่จะพาภารกิจไปถึงเป้าหมายสูงสุดคือการเด็ดหัวเจ้าพ่อรายใหญ่ โดยที่ทั้งหมดยังอยู่ภายใต้การคานอำนาจของรัฐบาล, FBI และ CIA ซึ่งรายหลังไม่สามารถปฏิบัติภารกิจในประเทศได้ พอหนังมันทำมุมนี้ให้มีความสมเหตุสมผลเราจึงเชื่อในความสมจริงของมันได้ไม่ยากนัก
ฉากแอ็คชั่นปฏิบัติการหลัก ๆ คงมีแค่สองฉากใหญ่ ๆ คือตอนบุกไปรับตัวคนในเม็กซิโกซึ่งเป็นฉากที่พาคนดูไปสัมผัสแดนเถื่อนในเม็กซิโกได้อย่างใกล้ชิดชนิดที่ว่าไม่ต้องไปเปิดกูเกิ้ลเพื่อหาข้อมูล ฉากนี้สร้างบรรยากาศความกดดันไม่น่าไว้วางใจได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงตอน shootout ที่แม่นยำสมกับเป็นภารกิจของทหาร และคงไม่ยุติธรรมถ้าจะนำไปเปรียบเทียบกับความพีคของฉากจบ Zero Dark Thirty เพราะมันต่างก็สมจริงในแบบของมันเองทั้งสองเรื่อง
9/10
Solomon Kane (2009) โซโลมอน ตัดหัวผี
The Green Mile (1999) ปาฏิหาริย์แดนประหาร