เรื่องย่อ : Mississippi Burning (1988) เมืองเดือดคนดุ ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ดูหนัง Mississippi Burning (1988) เมืองเดือดคนดุ เอฟบีไอสองคน เจ้าหน้าที่ที่มีสไตล์แตกต่างกันอย่างมากเดินทางมาถึงมิสซิสซิปปี้เพื่อสอบสวนการหายตัวไปของนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองบางคน
ในปี 1964 เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนสามคน – สองคนเป็นชาวยิวและอีกคนเป็นคนผิวดำ – หายตัวไปในขณะที่พวกเขาอยู่ในเขตเจสซัพ รัฐมิสซิสซิปปี้ เพื่อจัดทำทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสำหรับคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เอฟบีไอจึงส่งอัลลัน วอร์ดและรูเพิร์ต แอนเดอร์สันไปสืบสวน วอร์ดเป็นคนเหนือ มียศสูงกว่าแต่เด็กกว่าแอนเดอร์สันมาก และดำเนินการสืบสวนตามระเบียบ ในทางตรงกันข้าม แอนเดอร์สัน อดีตนายอำเภอของมิสซิสซิปปี้ มีแนวทางที่แยบยลกว่า ทั้งคู่พบว่าการสัมภาษณ์ชาวเมืองในท้องถิ่นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากนายอำเภอเรย์ สตัคกี้และเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอิทธิพลต่อประชาชนและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มคูคลักซ์แคลน
ด้วยความช่วยเหลือของลูกชายของบาทหลวงในท้องถิ่น เอฟบีไอจึงสามารถส่งพยานที่เห็นสมาชิกกลุ่มคูคลักซ์แคลนวางระเบิดเพลิงในบ้านหลังหนึ่งได้ในที่สุด และชายผิวขาวสามคนถูกจับกุมและถูกพิจารณาคดีในข้อหาวางเพลิงโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาในพื้นที่ได้ตัดสินให้ชายคนดังกล่าวได้รับโทษจำคุกโดยรอลงอาญาเล็กน้อย พร้อมกับเยาะเย้ยเอฟบีไอว่าเป็น “ผู้ก่อความไม่สงบจากภายนอก” ที่ยุยงให้ชายคนดังกล่าวใช้ความรุนแรง จากนั้น เขาก็ปล่อยตัวชายคนดังกล่าว และแขวนคอพ่อของพยานทันที และพยายามฆ่าพยาน เอฟบีไอจึงอพยพครอบครัวดังกล่าวไปทางเหนือ และพบว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เลย ดูหนังออนไลน์
Alan Parker
โอไรออน พิคเจอร์ส
Gene Hackman
Willem Dafoe
ปัญหาการแบ่งแยกสีผิวเป็นปัญหาเรื้อรังในประเทศผู้นำโลกเสรีคือสหรัฐอเมริกามาช้านาน มีหนังชั้นดีมากมายที่กล่าวถึงปัญหานี้มีทั้งการเล่าเรื่องแบบตรง ๆ หรือเล่าเรื่องผ่านปัญหาสังคมในหลายมุมมอง ซึ่งแต่ละเรื่องย่อมกระทบกับความรู้สึกได้ในหลายแง่มุมแต่มักจะมีอารมณ์ร่วมเดียวกัน หนึ่งในหนังระดับคุณภาพที่พูดถึงปัญหาการเหยียดผิวได้อย่างจริงจังคือ Mississippi Burning (1988) ที่สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ ในรัฐมิสซิสซิปปี้เมื่อปี 1964 เมื่อนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชนวัยรุ่น 3 คน หายไประหว่างผ่านเมืองแห่งนี้ คนทั้งสามเป็นคนผิวขาว 2 คนและคนผิวสีอีก 1 คน ตามมาด้วยการสืบสวนของเอฟบีไอที่แทบจะทำให้เกิดสงครามย่อม ๆ ในเมืองแห่งนี้ทีเดียว
การเล่าเรื่องชอง มีสองตัวเอกคือคู่หูเอฟบีไอที่นำทีมการสืบสวนในคดีนี้ ทั้งสองมีบุคลิกและการทำงานที่แตกต่างกัน คนที่เป็นหัวหน้ารับผิดชอบคดีเป็นคนหนุ่มไฟแรงในขณะที่อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่มีประสบการณ์ที่มีวิธีการหาข้อมูลในแบบเข้าถึงมากกว่า การมาถึงของเอฟบีไอได้กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พวกผิวขาวหัวรุนแรงรวมทั้งพวก คลูคลั๊กซ์แคลน ได้ออกมา “ข่มขวัญ” ทำร้ายคนดำหนักขึ้น การสืบสวนก็ถึงทางตันเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากตำรวจท้องถิ่นที่มีข้อมูลบางอย่างบอกว่าพวกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของคนสามคนที่กำลังตามหา
ด้วยเนื้อหาที่เคร่งเครียดอยู่แล้ว ตลอดทั้งเรื่องของ จึงดูกดดันตามไปด้วย คนดูจึงจะได้เห็นชะตากรรมของคนผิวสีที่ถูกเหยียดหยามในความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรงโดยเฉพาะในรัฐมิสซิสซิปปี้ที่ยุคนั้นการเหยียดผิวไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมาย ในช่วงท้ายเรื่องที่ฝ่ายเอฟบีไอทำการ “เอาคืน” นั้นจึงอาจจะเป็นช่วงเวลาของการสะใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งในแง่มุมนี้เองยิ่งตอกย้ำถึงบทบาทของกฎหมายในการจัดการกับคนผิดที่บางทีต้องมีนอกกรอบกันบ้าง แม้ว่า จะไม่ใช่หนังแอ๊คชั่นแต่ความรุนแรงในหนังมีอยู่มากมายซึ่งทั้งหมดคือการกระทำของมนุษย์ที่ดูถูกและเข่นฆ่ากันเองเพียงแค่ความเชื่อและสีผิวต่างกันเท่านั้นเอง
เป็นหนังดีที่ถูกมองข้ามและไร้ชื่อไร้เสียงจนไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างสักเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจเพราะประเด็นสีผิวที่รุนแรงขนาดที่ว่าฆ่าล้างบางอย่างไร้ความเยื่อใยจนอาจทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่ยังไงเสียเนื้อเรื่องก็ได้อิงจากเหตุการณ์จริงในปี 1964 ที่สร้างความทุกข์ร้อนถึงคนผิวสีจนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ร่วมโลก เพราะอะไรทำไมถึงจงเกลียดจงชังคนผิวสีนัก เพราะผิวดำไม่ใช่ผิวขาวที่ดูบริสุทธิ์งั้นเหรอ เพราะไม่ขาวจึงไม่สมควรอยู่กัน เพราะอะไรนั้นคือคำถามที่สะเทือนใจ คนเราตัดสินใครบางคนหรือกลุ่มคนเพียงเพราะสีของผิวที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้มีมาตั้งแต่ยุคสมัยไหนก็ยังเป็นอยู่เสมอไม่สามารถลบอคติเช่นนี้ได้หมด
หลายครั้งคนผิวสีถูกมองในเรื่องผัวพันในสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ ดีไม่ดีถูกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะเป็นคนผิวดำทั้งที่ควรให้เหตุผลอื่นเข้าท่ากว่านี้ นึกแล้วก็ไม่รู้จะว่ายังไงนอกจากเป็นความแตกต่างแค่เปลือกที่สะท้อนไปถึงก้นบึ้งของอีกคนจนถึงข้างใน ความเป็นจริงที่แสนน่ารังเกลียดที่แบ่งแยกความเป็นคนด้วยคนกันเองเพราะผิวที่ไม่เหมือนกัน
เรื่องได้เปิดด้วยความฉงนใจจากกลุ่มวัยรุ่น 3 คนที่รู้ในภายหลังว่าคือนักต่อสู้สิทธิมนุษยชนที่กำลังขับรถวิ่งกลางดึกอยู่ดีๆได้ถูกรถหลายคนไล่กวดแบบไม่แซงไม่ปล่อยต้องหยุดถึงยอม ซึ่งการหยุดรถเพื่อหวังเจรจากลายเป็นความผิดมหันต์เพราะนั้นทำให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ 2 นายคือรูเพิร์ต เอ็นเดอร์สัน (Gene Hackman) และอลัน วอร์ด (Willem Dafoe) ต้องมาเยือนแดนใต้ในรัฐมิสซิสซิปปีเพื่อสืบคดีนักต่อสู้สิทธิมนุษยชนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าการสืบความจริงในถิ่นแปลกได้สร้างความแตกต่างระหว่างคนนอกกับคนในที่ไม่มีใครยินยอมร่วมมือกันแบบเต็มใจ จึงเป็นความปวดหัวของทั้งสองที่ยิ่งสืบยิ่งมืดแปดด้านมากยิ่งขึ้นจากความจริงที่ถูกปิดบังจากคนทั้งเมืองจนกลายเป็นตัวตลกที่หาเท่าไรก็ยิ่งสร้างความขำขันแก่ชุมชน แต่เบาะแสหนึ่งที่พบเกี่ยวกับชุมชนมิสซิสซิปปีแห่งนี้คือเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่กำลังก่อความรุนแรงมากขึ้นเพราะสีผิว มันเป็นเรื่องของคนผิวดำที่ถูกรังแกจากคนผิวขาวแบบไม่ลืมหูลืมตาจะถูกจะผิดและกฎหมายไม่ช่วยอะไร
คู คลักซ์ แคลน (Ku Klux Klan – KKK) ถูกใช้เรียกกับลัทธิหรือกลุ่มคนที่ร่วมตัวกันต่อต้านคนผิวสีหรือนิโกรด้วยความรุนแรงแบบฆ่าได้ยิ่งดี เช่นเดียวกันกับเรื่องนี้ที่มีความรุนแรงระดับเกินเยียวยาที่ฆ่าแกงกันได้อย่างง่ายๆเพียงขอแค่ผิวดำก็เป็นเป้านิ่งให้ถูกทุบตีได้ทุกเมื่อ และที่ยิ่งกว่าคือสภาพของสังคมที่เหมือนถูกแบ่งแยกทางเพศที่มีให้เห็นจากการข่มเพศหญิงที่อ่อนแอกว่าจากเพศชายด้วยกำลัง ความไม่ประนีประนอมคือไม้เด็ดของหนังเรื่องนี้จนรู้สึกหลากหลายอารมณ์ในเวลากัน ทั้งเกลียดชัง เครียดแค้น หดหู่ และที่รู้สึกได้แน่นอนคือความไม่ยุติธรรม สำหรับ Mississippi Burning อาจจะใช้ประเด็นหลักเรื่องเหยียดสีผิวแต่โดยรวมแล้วยังมีประเด็นอีกมากมายที่สะท้อนออกมาตามที่กล่าวข้างต้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้น่าสนใจคือความหวาดกลัวจากผู้ถูกกระทำจนไม่กล้าหรือท้าทายหรือมีกำลังต่อสู้จนไม่ต่างกับคนอ่อนแอที่กลัวและไม่กล้าทำอะไร
ความหนักใจของเรื่องนี้เป็นความจริงที่ผู้ชมรู้อยู่ก่อนบ้างว่าใครคือคนทำ และด้วยเหตุผลบางประการทำให้รู้อีกด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไร ทว่าการรู้ไปก็เหมือนได้แค่พูดแล้วลอยไปตามอากาศ สิ่งที่บอกไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงเท็จมากน้อยเพียงใดและไม่อาจหาคำตอบได้ภายใต้กรอบที่ยังมีอยู่ ด้วยสิ่งนี้เองทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยความหนักแน่นที่ยิ่งขุดคุ้ยมากเท่าไรยิ่งต้องพบความเจ็บปวดที่อยากระบายก็ไม่สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำ ในช่วงแรกจะไม่หนักหนาสาหัสเท่าไร แต่เมื่อยิ่งสถานการณ์ชวนบีบคั้นยิ่งขึ้นจะเห็นถึงความเป็นจริงของสังคมที่ไม่แคร์ไม่สนและไม่ช่วยเหลือ ฉากที่เห็นได้ชัดคือการสัมภาษณ์ของสื่อข่าวกับชาวบ้านในมิสซิสซิปปีเกี่ยวกับความเห็นการหายตัวไปของกลุ่มวัยรุ่น 3 คน โดยคนที่ให้สัมภาษณ์จะไม่สนความเป็นความตายเลยสักนิดและเบี่ยงเบนว่าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกที่สร้างขึ้นมา บางทีอาจเป็นเรื่องสนุกที่ต้องการปั่นหัวเล่นๆก็เป็นได้
การสัมภาษณ์ผ่านสื่อข่าวช่วยเปิดมุมกว้างเกี่ยวกับชุมชนมิสซิสซิปปีจนรู้สึกว่าเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่เลยสักนิด ทั้งนิสัยใจคอและยึดมั่นในถิ่นฐานเพราะมีวัฒนธรรมในแบบของตัวเอง กระนั้นการยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็นก็กลายเป็นเรื่องเสียดสีของผิวสีหรือที่ได้ยินในหนังอยู่บ่อยครั้งว่า”นิโกร”ในมุมมองเห็นแก่ตัว การพูดคุยที่โยงใยจากการหายตัวของกลุ่มวัยรุ่นนักสิทธิมนุษยชนได้ไปเกี่ยวพันกับคนผิวสีในเชิงลบแบบไม่หวั่นผลกระทบในภายหลัง ทั้งว่าทั้งด่าแบบไม่หยาบแต่แรงเหลือร้ายจนไม่คิดว่าจะถูกประเมินให้ต่ำต้อยเพียงแค่ผิวสีต่างกันเท่านั้น การเชื่อมโยงเหตุการณ์จากเรื่องเล็กระดับบุคคลได้พัฒนาไปสู่ระดับชุมชนจากหนึ่งไปสิบจนถึงร้อยและหนักข้อมากขึ้น
ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่เจ็บแสบมากสุด คำตอบนั้นคือคนอย่างเราๆที่รับการปลูกฝั่งความเชื่อแบบผิดๆ แม้ว่าความเชื่อจะเปลื่ยนแปลงกันได้แต่จะทำยังไงหากเข้าถึงระดับวัฒนธรรมหรือลัทธิไปแล้ว ผลคือทุกคนเชื่อและคิดว่านี่แหละเหมาะสมอย่างที่เรียนรู้กันมาสิ่งที่พิเศษที่สุดของเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องแบบละเอียดทุกฝีก้าวตั้งแต่เข้าเมืองมิสซิสซิปปี ไล่ลำดับจากเล็กไปใหญ่ด้วยการเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างแนบเนียนจนไม่คิดว่าการผูกเรื่องทั้งหมดจะบานปลายและใหญ่โตขนาดนี้
จะว่าก็ไม่แปลกหากอิงจากเหตุการณ์จริงที่ยุคนั้นยังเต็มไปด้วยการแบ่งแยกชนชั้น อะไรหลายอย่างยังโหดร้ายและเต็มไปด้วยอคติแบบเก่าจนเป็นความขัดแย้งระหว่างแนวคิดเดิมกับแนวคิดใหม่ที่ต้องการปฏิวัติเสรีภาพจากนักต่อสู้สิทธิมนุษยชนจนตัวตายอย่างไม่รู้ตัว นอกจากเนื้อหาสาระที่แฝงมาให้ขึ้นสุดลงสุดแล้วยังรวมแม้กระทั่งตัวละครที่เข้าไปหยั่งลึกถึงจิตใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่อลันกับรูเพิร์ตที่มีความเข้าขาเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น เอาจริงๆทั้งคู่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากจากรูปลักษณ์และอุดมการณ์ความคิดชนิดคนละฝั่งคนละฝาอลันเป็นตัวละครที่ถูกเข้าหาในช่วงแรกจนเป็นตัวเด่นของเรื่อง ไม่ว่าจะวิธีการเสาะหาข้อมูลหรือตั้งสมมุติฐานก็ล้วนมาจากความจริงที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น สิ่งที่อลันทำแทบจะเป็นไปตามตำราที่แสนเข้มข้นและจริงจังอยู่ตลอดเวลา จริงที่ว่าจะขาดความพลิกแพลงในการไขคดีแต่ความพิเศษของเขาคือการไม่ยอมอะไรง่ายๆ
100 Days to Live (2019) 100 วันที่จะมีชีวิตอยู่