เรื่องย่อ : Lee Rock 2 (1991) ตำรวจตัดตำรวจ 2 ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ดูหนัง Lee Rock 2 (1991) ตำรวจตัดตำรวจ 2 ส่วนที่สองของไตรภาคที่เล่าเรื่องราวความรุ่งโรจน์และการล่มสลายของเจ้าหน้าที่ทุจริตระดับสูงของฮ่องกง ในช่วงเวลานี้ ลีร็อคสนุกกับความสำเร็จและได้พบกับรักใหม่ แต่ความอิจฉาริษยาภายในกลุ่มและแผนกใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อกวาดล้างการทุจริตภายในระบบกำลังคุกคามความสะดวกสบายที่ลีร็อคได้รับ
ในปี 1959 นักสืบต่างชาติชื่อรีฟจาก Yau Ma Tei เกษียณอายุราชการ ส่งผลให้คู่แข่งที่ขมขื่นอย่าง Lee Rock (Andy Lau) และ Ngan Tung (Paul Chun) ต้องแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งนี้ แม้ว่า Ngan จะได้ตำแหน่งนี้ในที่สุด แต่ Lee ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้านักสืบชาวจีน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อาวุโสกว่า Ngan หลังจาก Lee เข้ารับตำแหน่ง เขาก็ปฏิรูปหน่วยงานต่างๆ ดูหนังออนไลน์
ได้รับการสนับสนุนจากนักธุรกิจหลายคน และแรงผลักดันของเขาก็เพิ่มขึ้น ในขณะที่สถานะของ Ngan ก็ลดลง ทำให้เขาเกลียดชัง Lee มากขึ้น เขาจ้างลูกน้องของ King Crab (Michael Chan) นักเลงมาเฟียในแผนการลอบสังหาร Lee ที่ล้มเหลว Ngan กลัวว่าจะถูกจับได้ จึงสั่งให้ฆ่า Crab Lee ยังคงรวบรวมอำนาจต่อไป และตลอดช่วงทศวรรษ 1960 เขาสามารถควบคุมกองกำลังตำรวจฮ่องกงทั้งหมดและปฏิบัติการต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันก็ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ความบันเทิง และสาขาอื่นๆ อีกมากมาย เขาสะสมทรัพย์สมบัติได้ประมาณ 500 ล้านเหรียญฮ่องกง
Lawrence Ah Mon
Win’s Pictures
Andy Lau
Sharla Cheung
Aaron Kwok
Chingmy Yau
Ng Man-tat
Paul Chun
ไม่แน่ใจว่าเมื่อตอนหนังออกฉายหนังประสบความสำเร็จในระดับไหนเพราะเป็นหนังที่เรียกว่าแหวกแนวจากหนังฮ่องกงและเทรนด์ของคนดูในขณะนั้น และเวลาก็ผ่านมานานแถมยังขี้เกียจไปหาข้อมูล เนื่องเพราะส่วนใหญ่ตอนนั้นหนังที่จะดึงดูดคนดูต้องแอ็คชั่นยิงกันกระจาย ใส่แบบกระสุนไม่มีหมด แต่กับหนังเรื่อง
นี้กลับเป็นหนังทริลเลอร์ดราม่าพูดกันแทบทั้งเรื่องและยอมรับว่าตอนนั้นก็ดูรู้เรื่องนะแต่กลับไม่เริงใจเท่าที่ควรเพราะเหตุผลที่ว่าข้างต้น ด้วยความคาดหวังว่าต้องยิงกันกลางตลาด ยิงจนยอดผักกาดกระจุยกระจาย แต่กลับคิดว่ากูเข้าไปดูหนังอะไรวะเนี่ย จวบจนหลายปีให้หลังกลับมาดูใหม่ในรูปแบบวีดีโอในวันที่วุฒิภาวะในการรับชมมากขึ้น ผ่านตามากับหนังที่หลากแนวและจำนวนมากขึ้นกลับมีมุมมองใหม่ว่า นี่คือความเหนือชั้นในการนำเสนอในยุคนั้นจริงๆ และเมื่อเปิดดูเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาอีกครั้งแบบสองภาครวดก็ยังตอกย้ำความคิดที่ว่า ถ้าเทียบกับหนังฮ่องกงในยุคเดียวกัน ตำรวจตัดตำรวจ คืองานที่เหนือชั้นในเรื่องของการเล่าเรื่อง การแสดง และบทที่ดึงอารมณ์ร่วมจากคนดู
หนังเล่าเรื่องของการไต่เต้าจากตำรวจสายตรวจชั้นผู้น้อยของ #เหลยเล่อ จนถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกรมตำรวจ และลงท้ายด้วยคืนสู่สามัญ โดยที่แฝงเรื่องราวของการต่อสู้เชิงการเมืองชิงเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบระหว่างตำรวจสองขั้วกับคู่แค้นอย่างจ่าว่านทง ที่แนบเนียนที่สุดด้วยการเสนอการเปลี่ยนผ่านจากตำรวจน้ำดีใสซื่อในตอนแรกให้กลายเป็นตำรวจมาเฟียเต็มรูปแบบ อีกทั้งประเด็นของรักที่ไม่สมหวัง รักสามเส้า การเสียสละ จนมาถึงเรื่องของครอบครัวและความสัมพันธ์
ระหว่างลูกที่หายไปกับพ่อที่รู้สึกผิด ทั้งหมดทั้งมวลเล่าเรื่องได้อย่างทรงพลังเพราะวัดจากอารมณ์คนดูที่มีอารมณ์ร่วมกับเหลยเล่อเต็มตีน เอาใจช่วย สงสาร และเห็นใจและถึงแม้เขาจะกลายร่างไปเป็นตำรวจมาเฟีย ตำรวจเลว แต่คนดูยังไม่พร้อมที่จะเกลียด กระทั่งฉากปะทะคารมกับลูกชายที่โรงพยาบาลตอนท้ายภาคสอง คนดูยังรู้สึกอยากถีบหน้าไอ้ลูกชายหัวดื้อไร้เหตุผลซะมากกว่า ทั้งนี้ด้วยเหตุที่หนังมีบทภาพยนตร์ที่เข้าขั้น และการแสดงที่เฉียบคมของเฮีย #หลิว
เต๋อหัว ในบทเหลยเล่อที่สมบทบาทจากการเปลี่ยนตัวเองจากภาพลักษณ์นักเลงหัวไม้ในตอนแรกจนกลายเป็นเจ้าพ่อมาเฟียในคราบตำรวจที่สง่างาม และน่าเกรงขามในขณะที่ #พอลเจียง (พี่ชายเดวิด เจียง)ที่เล่นอย่างน่ารังเกียจและคนดูพร้อมจะเกลียดเขาตั้งแต่ต้นจนจบในบทจ่าว่านทง แต่ที่น่าทึ่งกลับเป็น #ซิวซู่เจิน ในบทอาเสียน รักครั้งแรกของเหลยเล่อที่สลัดภาพกระจุ๊กกระจิ๊กมาเล่นเป็นสาวเรียบร้อยใสๆในตอนแรกและเป็นคนอมทุกข์ในตอนท้าย ร่วมด้วย #จางเหมี่ยน ที่รับบทเป็นภรรยาผู้เป็นสายลมไต้ปีกของเหลยเล่อที่สวยสง่าและน่าสงสาร เธอให้การแสดงที่มีพัฒนาการจากสาวเอาแต่ใจมาเป็นภรรยาผู้อยู่เบื้องหลัง
สามี แม้จะทุกข์ในใจในเรื่องที่สามีทำหรือเรื่องรักแรกของสามีที่กลับมาหลอกหลอน แต่เธอพร้อมที่จะยิ้มรับมัน ทั้งนี้ทั้งสองสาวแสดงออกทางสีหน้าแววตาได้อย่างกินกันไม่ลง กระทั่ง #อู๋มงต๊ะ ที่มาในมาดกวนๆตามแบบฉบับยังมีบทที่น่าจดจำ หรือตัว #กัวะฟู่เฉิง ที่มารับบทเป็นลูกของเหลยเล่อในภาคสองที่มอบการแสดงให้เห็นว่า เขาน่าหมั่นใส้มากกว่าน่ารัก
แต่ สิ่งที่ดึงหนังให้ไม่พีคสุดขีดทั้งที่มีบทภาพยนตร์ชั้นดี การแสดงชั้นยอด กลับกลายเป็นการตัดต่อที่ไม่เนียน โดดไปโดดมาเหมือนไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แต่นั่นกลับทำให้มองเห็นว่าบทหนังแข็งแรงขนาดไหนเพราะขนาดหนังโดดไปโดดมาปานนั้นยังสนุกและได้อารมณ์แม้จะผ่านมายี่สิบห้าปีแล้ว อีกหนึ่งคือเทคนิคการ
เมคอัพ(ที่คงดีที่สุดแล้วในยุคนั้น)ที่เชื่อไม่ลงว่าพวกเขาชราภาพลงไปเพราะแค่การทำผมให้ขาวมันยังไม่พอ อีกเรื่องคือการแปลบทพากย์ไทยที่เหมือนใช้คนละทีมแปล(แม้จะใช้ทีมพากย์เดียวกัน)นั้นคือแปลออกมาเหมือนเป็นคนละเรื่องราวทำให้เวลาดูต่อเนื่องกันมันเหมือนเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพียงแต่บทหนังเท่านั้นที่ช่วยให้คนดูยังอยู่ในเลนที่ดูรู้เรื่องและสนุก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าตอนหนังฉายเป็นแบบนี้หรือไม่แต่เท่าที่ดูมาตอนหลัง (True Vision หนึ่งรอบเมื่อสองสามปีก่อน)เป็นแบบนี้จริงๆทำให้เสียอรรถรสในการชมไปมากโข เพียงแต่หนังมันสนุกพอที่จะทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมตลอดรอดฝั่ง
หนังนับเป็นความแหวกขนบหนังฮ่องกง ณ ตอนนั้น การดูเมื่อตอนนั้นอาจสร้างความผิดหวังแต่เมื่อกลับมาดูซ้ำกลับเป็นความชื่นชมและชื่นชอบ ชอบที่เป็นหนังทริลเลอร์ดราม่าอาชญากรรมเข้มๆ ชอบการแสดงของนักแสดงที่เราอาจไม่ค่อยได้เห็นพวกเขาและเธอบางคนในบทดีๆแบบนี้บ่อยๆ ชอบบทภาพยนตร์ที่แม้จะมีการตัดต่อที่ไม่เนียนแต่ยังแข็งแรงพอที่จะประคองหนัง แม้ถ้าแยกเป็นภาคจะเห็นความละเมียดในภาคแรกมากกว่าในภาคสองที่เหมือนจะเร่งสรุปให้จบ และบางประเด็นก็หาทางออกง่ายๆ แต่กระนั้นเมื่อถึงวันนี้ที่ได้ดูอีกครั้งกลับกลายเป็นหนังที่ประทับใจและพร้อมจะดูซ้ำอีกเรื่อง และแน่นอนว่า นี่คือหนังเฮียหลิว
Paper Moon (1973) พระจันทร์กระดาษ
Papillon (1973) ปาปิยอง ผีเสื้อเสรีที่โหยหาอิสรภาพ
Four Rooms (1995) คู่ขาบ้าท้าโลก