เรื่องย่อ : La La Land (2016) นครดารา ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
La La Land (2016) นครดารา
-เรื่องราวของคู่รักระหว่าง “มีอา” หญิงสาวที่มีความฝันอยากเป็นนักแสดงชื่อดัง และ “เซบาสเตียน” ชายหนุ่มที่มีความฝันอยากเปิดร้านคลับแจ๊สเล็กๆเป็นของตัวเอง ทั้งคู่มาเจอกันด้วยความฝัน และทั้งสองยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าปลายทางของความฝันจะไม่มีความรักของกันและกันอยู่ก็ตาม
-ก่อนจะพูดความรู้สึก แอดขอขี้โม้นิดนึงนะครับ555555 La La Land เป็นหนังที่แอดดูในโรงหนังไป 3 รอบ ธรรมดา 2 รอบ และ IMAX 1 รอบ ละก็ซื้อแผ่นบลูเรย์มาดูอีก 2 รอบ ตอนนี้ก็จัด Netflix ไปอีก 1 รอบ รวม 6 รอบ !!! การที่ผมได้เสพสุนทรีย์ในหนังเรื่องนี้แบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อเลย ไม่ได้อวยนะครับ แต่ทั้งงานภาพ งานเสียง อารมณ์เพลง การดำเนินเรื่อง มันรู้สึกเหมือนนั่งดูละครเวทีอยู่ เหมือนได้เสียค่าบัตรละครเวที 2-3 พันเลย การแสดงก็ประณีต ละเมียดละไม องค์ประกอบทุกอย่างมันคือเรียกได้ว่า “ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด” เรื่องนึงเลย
-งานภาพเลยอย่างแรก ทุกฉากคือได้ถูกคิด ถูกวิเคราะห์ ถูกจัดสี จัดแสง อย่างปราณีต ไม่ทีฉากไหนเลยที่จะไม่ชอบ และทุกฉากมันส่งอารมณ์มาถึงคนดูได้หมด
-เพลงต่างๆที่บรรเลงและขับขานในเรื่อง โดยเฉพาะ “City of Stars” คือเพลงรัก จนอยากจะไปฝึกเล่นเปียโนเลย
-บทที่พาตัวละครไปพบกับการตัดสินใจที่เปรียบได้ว่า มันคือทางแยกของชีวิตเลย ไม่ว่าทางไหนก็เจ็บ และทุกทางก็มีความสุข รวามฝันอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน
-พูดมาขนาดนี้ละ คงไม่ต้องบอกแล้วว่าควรดูไหม เพราะอยากให้ไปลองดูมากๆ ถ้าไม่ได้อินกับงานเบื้องหลัง มันก็คือหนังรักที่ดีมากๆเรื่องนึงเลย และที่สำคัญเป็น Musical ด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบไม่ว่ากัน แต่สำหรับผมมันคือหนังที่จะอยู่ในความรู้สึก ความทรงจำ ตลอดไป
แอด.MARs
เป็นหนังที่ว่าด้วยมนุษย์ผู้ให้ความสำคัญกับความฝันมากกว่าความรัก แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิเสธว่าการมีความสัมพันธ์นั้น ได้กลายเป็นแรงผลักดันที่ส่งเสริมกำลังใจพวกเขาให้ก้าวไปสู่เป้าหมายด้วย ความฝันของพวกเขาจึงมีความรักอยู่ในนั้น และมันยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อสุดท้ายแล้วพวกเขาประสบความสำเร็จ มันเลยออกมาเป็นหนังที่สุขปนเศร้า เราอาจรู้สึกยินดีที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ได้เป็นคนที่ตัวเองอยากเป็น แต่ในขณะเดียวกันสิ่งเหล่านั้นก็มีราคาที่ต้องจ่าย อาจมีบางสิ่งที่เราทำหล่นหายในระหว่างทางของการทะยานสู่ฝัน ซึ่งสุดท้ายแล้วมันอาจไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เฉกเช่นหนุ่มสาวนักฝันทั้งสองที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในวันที่ตนมีทุกอย่างที่ต้องการ พวกเขาอาจเผลอจินตนาการถึงชีวิตที่ได้ใช้ร่วมกัน แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงแค่ความคิด ห้วงหนึ่งมันอาจทำให้ทั้งสองเศร้าไม่ได้ลงเอยกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็เลือกที่จะยอมรับ และขอบคุณซึ่งกันและกันในฐานะคนที่เข้ามาทำให้ฝันเป็นจริง
สำหรับเรา มันเป็นหนังที่ชวนให้นึกย้อนถึงตัวเองเหมือนกันนะ ไม่ใช่เพราะเราเป็นนักฝัน หรือหลงรักดนตรีแจ๊สอะไรหรอก แต่เพราะมันเป็นหนังที่พูดถึงการกำหนดเส้นทางชีวิต การเติบโตขึ้นที่มาจากทั้งการตัดสินใจของเรา และชีวิตของคนรอบข้างที่หล่อหลอมเราอีกที หนังมันชวนให้เรานึกถึงเส้นทาง และที่มาที่ไปของตัวตนที่เราเป็น รวมไปถึงสิ่งต่างๆที่เราได้รับในชีวิต อาจมีบางคนที่ยังคงโคจรอยู่ในชีวิตเรา แต่ก็คงมีไม่น้อยที่หลุดลอยหายไปจากอาณาเขตชีวิตเราเช่นกัน ซึ่งหนังเรื่องนี้มันทำให้เรานึกถึงคนเหล่านั้น ทั้งที่ยังอยู่ในชีวิตเรา และหายตัวไปแล้วเรียบร้อย ทั้งคนที่มอบความทรงจำดีๆ และคนที่สร้างช่วงเวลาแย่ๆให้แก่เรา อะไรใดๆก็ตามที่หล่อหลอม และเปลี่ยนแปลงเราให้กลายเป็นเราในวันนี้โดยที่เรารู้สึกยินดีกับมัน , ขอบคุณนะ
อนึ่ง ถ้าปีหน้าเราผ่านพ้นวิกฤตโควิดกันได้สักทีอยากจะไปแอลเอมากๆ อยากไปตามรอยหนังหลายๆเรื่อง ก็เป็นหนึ่งในนั้น (แต่ใจจริงอยากไปตาม Heat มากกว่า) แค่บันทึกไว้คร่าวๆ หวังว่าปีหน้าย้อนกลับมาอ่านอีกที จะเป็นความรู้สึกดีที่ได้ไปแล้วนะ
นี่คือประวัติศาสตร์หนังเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคนี้ 10/10 (Repost)
ก่อนเพื่อนๆจะได้ร่วมชมพร้อมกันในคืนนี้ ขอรีโพสรีวิวหนัง มาให้อ่านกันอีกสักรอบ (หนังเข้า Sneak Preview หลังสองทุ่มวันนี้เป็นวันแรก!!!)
ทันทีที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ความคิดวูบแรกคือ จบแล้วเหรอ ทำไมมันช่างเป็นหนังที่ดูแล้วฟิน มีความสุขได้ขนาดนี้ นี่คือหนังเพลงที่ถึงแม้เพลงจะไม่มาก แต่เนื้อหาที่กินใจ เนื้อเรื่องที่ไม่สลับซับซ้อน เสกลของหนังดูเหมือนจะพูดถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องราวของความฝันของหนุ่มสาวที่อยากเข้าสู่แวดวงบันเทิง พูดถึงเรื่องราวของความรัก ที่ดูเผินๆเหมือนเนื้อหาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ เหมือนว่าหนังจะไม่ทะเยอทะยานอะไร แต่อารมณ์ร่วมระหว่างชมภาพยนตร์ อารมณ์ร่วมที่เรามีให้กับตัวละครมันไต่ระดับไปเรื่อยๆจนขึ้นสู่จุดพีคสูงสุดชนิดที่เรียกว่าเราแทบจะลอยขึ้นไปบนฟ้าเต้นรำไปกับมีอาและเซบาสเตียน พระเอกนางเอกของเรื่องเลยก็ว่าได้
เป็นเรื่องราวของ มีอา บารีสต้าสาวที่ทำงานที่ร้านกาแฟในโรงถ่ายหนังฮอลลีวู้ด เธอมีความฝันที่อยากจะเข้าวงการฮอลลีวู้ด อยากเป็นนักแสดง แม้เธอเองจะพยายามครั้งแล้วครั้งเล่ากับการไปออดิชั่นบทต่างๆในหนัง แต่ดูเหมือนว่าเธอก็ไปไม่ถึงดวงดาวเสียที กับ เซบาสเตียน หนุ่มนักเปียโนแจ๊สที่ค่อนข้างตกอับ แต่เป็นคนที่รักเพลงแจ๊ส และมีความฝันที่อยากจะเป็นนักดนตรีแจ๊สคลาสสิค อยากเปิดบาร์แจ๊ส และเล่นเพลงแจ๊สดีๆให้คนฟัง ทั้งสองคนมาเจอกันในวันที่ทั้งสองยังไม่ถึงดวงดาว การต่อสู้เพื่อเดินตามความฝันของหนุ่มสาวคู่นี้มาพร้อมกับความรักของคนสองคนที่เริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ ร้อยต่อด้วยบทเพลงเพราะๆในหนัง ที่อยากจะบอกว่า ไพเราะ ชวนฟังเหลือเกิน
ลำพังการทำมิวสิคคัลขึ้นมาแบบรีเมคมันก็ยากแล้ว ทั้งในแง่ของการทำเพลง การทำดนตรี การออกแบบท่าเต้น และถ้าเกิดว่าจะต้องเนรมิตรมิวสิคคัลขึ้นมาใหม่เรื่องนึง โดยที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบออกมาได้ขนาดนี้ พูดเลยมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จัดเป็นมิวสิคคัลที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบมาก แม้เพลงจะน้อยไปสักหน่อย แต่อารมณ์ร่วมของนักแสดง บทภาพยนตร์ที่แน่น และความละเอียดอ่อนในการสร้างสรรค์ การเล่าเรื่องโดยผู้กำกับ Damien Chazelle (Whiplash) ก็ต้องถือว่าต้องกราบเลยล่ะครับ เพราะงานละเมียดมาก
ประเด็นที่หนังนำเสนอ หากดูเผินๆจะรู้สึกเหมือนเป็นหนังรักของหนุ่มสาวที่อยากเข้าวงการธรรมดา แต่ในสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้คือ การที่หนังว่าด้วยเรื่องราวของความฝัน ความฝันแบบอเมริกันนี่แหละ อยากเดินตามความใัน อยากเข้าวงการ อยากทำงานดนตรีในแบบที่ตัวเองชอบ แต่โชคชะตามักเล่นตลก เมื่อความฝันกับการเอาตัวรอด การสร้างเนื้อสร้างตัวมันไปกันไม่ได้ นักดนตรีเองก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำเพลงในแนวที่ตัวเองชอบ ในขณะที่ถ้าหากยังยึดมั่นอยู่กับความฝันต่อไป มันอาจจะล้มเหลว และไปไหนต่อไม่ได้ และที่หนังพยายามบอกให้รู้ถึงความเจ็บปวดอีกด้วยว่า ในวันที่เรารอคอยความฝัน คนที่ร่วมเดินทางไปกับเราเค้าก็อาจจะรอไม่ได้ และเมื่อวันที่เรามีพร้อม คนที่อยู่เคียงข้างอาจจะไม่ใช่คนที่เรารัก Lucky In Game แต่อาจจะไม่ได้ Lucky In Love ก็ได้ เราได้เรียนรู้ที่จะตามความฝัน ไปพร้อมๆกับการที่เราจะได้เรียนรู้เรื่องความรักไปกับหนังเรื่องนี้ด้วย วิเศษจริงๆ
เอมม่า สโตน มอบการแสดงที่สุดแสนจะวิเศษ ในช่วงที่เธอแสดงอารมณ์ความรู้สึกของคนที่หมดหวังในความฝัน และการร้องเพลงช่วงออดิชั่นที่สุดแสนจะเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ คือถ้ายังไม่ได้ดู Jackie นี่ก็มั่นใจนะว่านางควรจะได้ออสการ์ ส่วนไรอัน กอสลิ่ง ก็มอบการแสดงที่สุดแสนจะธรรมชาติ ถ้าใครดูพรจากฟ้า ฉากซันนี่เล่นเปียโน ที่ผมเคยบ่นว่าดูแล้วไม่เชื่อว่าซันนี่เล่นเปียโนได้ ให้มาดูไรอัน กอสลิ่ง เล่นเปียโน ในเรื่องนี้ นอกจากเค้าจะทำให้เราเชื่อว่ากอสลิ่งเล่นเปียโนได้แล้ว เค้ายังทำให้เราเชื่อว่ากอสลิ่งเล่นเปียโนเก่งมากด้วย
ฉากระเบิดอารมณ์บนโต๊ะกินข้าวฉากเดียวความยาวประมาณ 5 นาที เป็นซีนที่มียทสนทนาในหนังที่สุดแสนจะวิเศษ เพราะไม่เพียงแต่จะบอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างในหนังแล้ว การร้อยต่อประโยค การถกเถียง ก็ยังทำให้เราเข้าใจในเหตุในผลของตัวละครทั้งสองฝ่าย ทั้งเอมมม่า สโตน และ กอสลิ่งถกเถียงกันราวกับเป็นแฟนกันเถียงกันจริงๆ ธรรมชาติมากๆ
แม้ว่ายุคนี่หนังเพลงอาจจะมีไม่มากเท่าไหร่แล้ว แต่ขอบอกว่า น่าจะเป็นหนังเพลงที่สามารถจดบันทึกเอาไว้หน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกภาพยนตร์ได้เลยว่า นี่คือหนังเพลงที่ยอดเยี่ยม และถ้ากาลเวลาผ่านไปเป็น 30-40-50 ปีข้างหน้า ผมก็เชื่อว่า จะต้องเป็นหนังคลาสสิค ไปนี้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมน่าจะตกเป็นของ อย่างไร้ข้อกังขา 10/10 ครับ หนังเข้าจริง 12 มกรา จะต้องหาโอกาสไปชมอีกหลายๆๆๆๆๆรอบแน่นอน!!
ดูหนังออนไลน์ ขณะใช้ชีวิตในลอสแองเจลิส นักเปียโนและนักแสดงตกหลุมรักกันขณะพยายามประนีประนอมกับแรงบันดาลใจในอนาคต La La Land (นครดารา) เล่าเรื่องราวของนักล่าฝัน 2 คนที่บังเอิญมาพบกันในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำลายความหวังและทำหัวใจผู้คนแตกสลาย ‘ลอสแอนเจลิส’ ได้แก่ มีอา (เอมมา สโตน) พนักงานในคาเฟ่แห่งหนึ่งเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาทำตามความฝันของตัวเองนั่นก็คือการได้เป็นดารา และ เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) นักเปียโนผู้หลงใหลในเพลงแจ๊สและอยากจะมีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง แต่ก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้ต้องเลือกระหว่าง ความรัก หรือ ความฝัน โดยคำว่า La มาจากตัวย่อของชื่อเมือง Los Angeles
The Idea of You (2024) ภาพฝัน ฉันกับเธอ
Begin Again (2013) เพราะรัก คือเพลงรัก
Liam- As It Was (2019) เลียม กัลลาเกอร์ ตัวตนไม่เคยเปลี่ยน