เรื่องย่อ : J.S.A. Joint Security Area (2000) สงครามเกียรติยศ มิตรภาพเหนือพรมแดน ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ดูหนัง J.S.A. Joint Security Area (2000) สงครามเกียรติยศ มิตรภาพเหนือพรมแดน ในเขตพรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่เรียกว่า DMZ หรือ JSA มีการพบศพทหารเกาหลีเหนือ 2 นายเสียชีวิต และเพื่อสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทางการของทั้ง 2 ประเทศได้ส่ง พันตรีหญิง โซฟี อี.จีน (ลี ยองเอ) นายทหารหญิงลูกครึ่งเกาหลี-สวิสเซอร์แลนด์ มาสอบสวน โดยเน้นย้ำว่าต้องให้เป็นกลางอย่างแท้จริง แต่ทั้ง 2 ประเทศให้ข้อมูลพาดพิงกัน เมื่อเธอสืบจนพบความจริงบางอย่าง ซึ่งทำให้นายทหารที่เกี่ยวข้องต้องฆ่าตัวตาย และเมื่อยิ่งสืบสาวราวเรื่องเท่าไหร่ ก็พบเรื่องความราวมิตรภาพของคนจาก 2 สัญชาติที่ลึก ๆ แล้วเขาก็คือพี่น้องร่วมชาติกันมาก่อน ดูหนังออนไลน์
ปาร์ค ชาน-วุค
ลี ยองเอ
ซอง กังโฮ
ชิน ฮาคุน
ด้วยความที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เป็นศัตรูกันในเรื่องของระบอบการปกครองทำให้ไม่สามารถรวมประเทศได้ เขาจึงมีเส้นแบ่งดินแดนที่เส้นละติจูด 38 องศาเหนือ (ผมนี่ตอนเด็กท่องแม่นเลย ละนอนลองตั้ง แหม่) และมีจุดที่เรียกว่า “เขตปลอดทหาร” คือ 2 กิโลเมตรจากพรมแดนขึ้นเหนือลงใต้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของหนังเรื่องนี้
เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อทหารเกาหลีเหนือ 2 นายถูกทหารเกาหลีใต้สังหารคาป้อมรักษาการณ์ฝั่งเกาหลีเหนือ มีผู้รอดชีวิต 2 คนคือ ‘่จ่าลี’ ทหารฝ่ายใต้ผู้ก่อเหตุ (แสดงโดย ลี บยอง ฮุน ตำรวจใน I Saw the Devil ที่โกฮอลลีวูดไปเป็น Storm Shadow) และ ‘จ่าโอ’ ทหารฝ่ายเหนือที่ถูกยิงบาดเจ็บ (แสดงโดย ซอง กัง โฮ ที่เล่นเรื่อง The Host, Snowpiercer และ Memories of Murder) โดยฝั่งใต้ก็อ้างว่าตัวเองถูกจับเป็นเชลยแต่สามารถหนีออกมาได้ ส่วนฝั่งเหนือก็อ้างฝั่งใต้บุกเข้าไปยิงคาป้อม เมื่อทั้งสองฝ่ายให้ความเห็นไม่ตรงกันจึงเป็นหน้าที่ของประเทศที่เป็นกลางทางการเมืองเป็นผู้ทำการสืบสวน
หนึ่งในหนังต่อต้านสงครามที่ยอดเยี่ยมที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสสนามรบ ความเด็ดขาดของ JSA ในสายตาผมคือการเป็นหนังที่พูดถึงมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ท่ามกลางการเมืองระดับประเทศได้ทรงพลังมาก ผมไปอ่านความเห็นหลายที่เขาก็บอกว่าฝ่ายใต้อยากรวมกับฝ่ายเหนือภายใต้เงื่อนไขว่าต้องเป็นประชาธิปไตย (ไม่ได้รังเกียจถ้าหากจะมีผู้ลี้ภัยจากฝั่งเหนือด้วย) ขณะเดียวกับฝั่งเหนือก็จะรวมประเทศภายใต้เงื่อนไขเดียวคือต้องเป็นคอมมิวนิสต์ ความขัดแย้งเช่นนี้ทำให้สองประเทศนี้ไม่สามารถรวมกันได้เสียทีทั้งที่โดยรากเหง้าก็คือคนเชื้อชาติเดียวกัน พอมาเจอฉากที่พูดถึงอุดมการณ์ของทั้งสองฝ่ายเราจึงรู้สึกว่ามันแอบ propaganda เกาหลีใต้อยู่เล็ก ๆ แต่ก็สะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกจริงได้ดีคือพลเรือนฝั่งเหนือเขาเติบโตมาคนละแบบกับโลกเสรีนิยมแบบเรา เขาไม่ได้ต้องการรวมประเทศ แต่ลึก ๆ เขาอยากมีความเป็นอยู่ทัดเทียมฝ่ายใต้ ในขณะที่ฝั่งใต้ถูกถ่ายทอดผ่านทัศนคติจ่าลีด้วยการอยากเห็นทั้งสองฝ่ายเป็นมิตรกันโดยเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก็คือตัวเขาและจ่าโอที่แม้ระดับชาติจะขัดแย้งกัน แต่เขากลับข้ามพรมแดนเพื่อไปผูกมิตรกัน
การได้เห็นมิตรภาพของทหารเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในหนังจึงเป็นที่ทำให้เราสะเทือนใจเป็นอย่างมากที่สองชาตินี้ต้องขัดแย้งกันทั้งที่พวกเขาก็คือคนเชื้อชาติเดียวกัน พอไปรวมกับบทสรุปของหนังมันยิ่งโคตรสะเทือนใจที่พวกเขาก็เป็นเพียงเบี้ยล่างของการเมืองที่ไม่อาจดิ้นให้หลุดเพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของตัวพวกเขาเอง
การสืบสวนคือหนึ่งในจุดสำคัญของหนัง เพราะมันจะพาเราไปรับรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในป้อมรักษาการณ์ฝั่งเกาหลีเหนือ นอกจากคำให้การที่ไม่ตรงกันแล้วทีมสืบสวนกลางยังพบว่าจ่าลีที่อ้างตัวเป็นฆาตกรอาจจะไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง เพราะกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุมี 11 นัด และเหลือในแม็กกาซีนอีก 5 นัด รวมเป็น 16 นัด แต่ว่าปืนสามารถบรรจุกระสุนได้เพียง 15 นัดเท่านั้น ยกเว้นว่าจะใส่ลูกเข้าไปในรังเพลิงเพิ่มอีก 1 นัดซึ่งนั่นไม่ใช่ความเคยชินของจ่าลี
ดองไว้ใน Netflix นานมากๆจนกระทั่งหยิบมาดูเมื่อคืน (ด้วยความโล่งอกที่มันยังไม่ถูกถอดออกไป) นี่คือผลงานเรื่องแรกๆของ ปาร์ค ชาน-วุค ก่อนที่เขาจะทำไตรภาคล้างแค้น / I’m a Cyborg, But That’s OK / Stoker หรือล่าสุดใน The Handmaiden – Joint Security Area คือภาพยนตร์ ดราม่า-สืบสวน ที่หยิบเอาบริบทการเมืองระหว่าง เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ มาขยี้ผ่านคดีฆาตกรรมที่ไม่ลงรอยจนต้องดึงคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยหาความจริง เมื่อเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือสองคนถูกยิงเสียชีวิตในฐานฟากของตัวเอง การเล่าความจริงในมุมของตน (แบบราโชมอน) ระหว่างเจ้าหน้าเกาหลีใต้และเหนือที่รอดชีวิตจึงเริ่มต้นขึ้น หากใครนึกฟอร์มหนังไม่ออกให้ลองนึกถึงโครงสร้างแบบ The Handmaiden แม้จะไม่ได้แบ่งเป็น act ชัดเจนแบบนั้น แต่การเล่าสลับไปมา (ระหว่างสองมุมมอง) และแทรกกลางความจริงเข้าไปเพื่อพลิกเรื่องทั้งหมด ทำให้หนังออกมาสนุก และบิดความรู้สึกคนดูได้ดีอย่างฉับพลัน
.
จริงๆเราเคยดูเรื่อง The Front Line (2011) มาก่อนที่พูดถึง “ความเป็นหนึ่งและความแตกต่าง” ระหว่างชาวเกาหลีสองฟากในสงครามเกาหลี แต่กับ Joint Security Area นั้นขยี้เรื่องมิตรภาพและความเป็นชาติเดียวกันออกมาได้ดีกว่าเยอะเลย เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในวันลาดตะเวนที่ทหารเกาหลีใต้ดันไปเหยียบกับระเบิด และเจอกับทหารเกาหลีเหนือพอดี ณ วินาทีนั้นมิตรภาพของพวกเขาเกิดขึ้นในฐานะเพื่อนมนุษย์ ทหารเกาหลีเหนือช่วยเขาในฐานะเพื่อนร่วมโลก (และแน่นอนว่าในท้ายที่สุดมันคือเมสเสจของการเป็นคนเกาหลีเหมือนกัน) และกลายเป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา ทหารเกาหลีใต้ข้ามฟากไปหาเพื่อนๆอีกประเทศ ร่วมวงสนทนา ดื่มเหล้า แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในทุกๆคืนบนเส้นแบ่งสองชาติที่อ่อนไหว เปราะบาง และพร้อมจะฆ่ากันได้ทุกวินาที
.
มิตรภาพใน JSA (ชื่อย่อ) มันออกมาน่ารักเป็นธรรมชาติมากๆ สิ่งที่ดีมากๆคือการแบ่งสัดส่วนของเรื่อง หนังเปิดมาด้วยบรรยากาศสืบส่วนที่ดูจะตึงเครียด ซับซ้อนซ่อนเงื่อนโดยมีความอ่อนไหวทางการเมืองเป็นตัวแปร แต่อยู่ๆหนังก็ตัดไปเล่าเรื่องมิตรภาพ เรื่องมนุษย์มากๆเข้ามาแทน จนเปลี่ยนบรรยากาศในช่วงแรกโดยทันที (ก่อนจะวกกลับมาให้ช็อกโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน) ซึ่งการเล่าแบบนี้มันทำให้เราเห็นว่า กึ่งของการเป็นวิกฤตการเมือง กับกึ่งของเรื่องราวมิตรภาพ มันคนละส่วนอย่างชัดเจน ทั้งสองเป็นคนละเรื่องราวที่ถูกเล่าและเกิดขึ้นไปพร้อมๆกัน ทหารเกาหลีเหนือและใต้ทั้งสี่ไม่ได้สนใจการเมืองไปมากกว่าคำว่าเพื่อน ลึกๆพวกเขาไม่อยากให้มีอาณาเขตกั้นด้วยซ้ำ (สนทนากันบ่อยๆว่าอยากเป็นตัวแทนมิตรภาพเชื่อมสัมพันธ์ประเทศ ซึ่งตลกดี 555) แต่สิ่งที่เจ็บมากๆคือในขณะที่เรากำลังคาดหวังมันให้เป็นคนละเรื่อง หนังก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่คำว่าชาติ ความขัดแย้ง เข้ามาซ้อนทับกับคำว่ามิตรภาพจนออกมาใจสลายอย่างที่เห็น
“ยังไงพวกเราก็เป็นศัตรูกันอยู่ดี”
ประโยคนี้ฟังกี่ครั้งก็เจ็บ Joint Security Area ไม่ใช่หนังที่พยายามจะสื่อสารข้อความทางการเมืองมากนัก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่กล่าว แต่หนังก็ทำหน้าที่เดียวกับเจ้าหน้าที่สาวที่เดินทางมาทำหน้าที่ “คนกลาง” ในการสืบสวน เธอคือคนเกาหลีที่มีพ่อเป็นเกาหลีเหนือพลัดถิ่นเลยทำให้สัญชาติเธอเป็นคนสวิสต์เซอร์แลนด์ตั้งแต่เกิด แน่นอนว่ามันคือประวัติที่ติดตัวมา แต่นั่นไม่ได้สำคัญอีกต่อไป ประเด็นนี้อาจกลายเป็นคำถามต่อภาพยนตร์ผ่านทหารสี่คนที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสู้กันไปเพื่ออะไร ในเมื่อการเป็นเพื่อนกันมันง่ายกว่าเยอะ – สำหรับเรานี่จึงเป็นหนังที่เศร้ามากๆ ไม่ว่าคุณจะเอนเอียงไปทางฝ่ายใดมากกว่า คำว่ามิตรภาพที่ไม่มีวันเป็นไปได้ในหนังเรื่องนี้ คือสตอรี่ที่เจ็บปวดโดยแท้จริง
.
The Bombardment (2022) เงาสงคราม
URI-The Surgical Strike (2019)