เรื่องย่อ : Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) อินเดียนา โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) อินเดียนา โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา
เกิดอะไรขึ้นกับIndiana Jonesทำไมกัน?!?!??! ทำไมภาคนี้นายดูโง่แบบโง่มากๆหลายอย่างถ้าเทียบกับภาคอื่นๆที่เคยฉายมา จากเป็นคนที่ช่างสังเกตุและมักจะเป็นคนที่เห็นแล้วอ๋อมันเป็นแบบนั้นแบบนี้ ตอนนี้แบบแทบจะไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่นอกจากแค่สู้เก่งมากกว่าที่จะไขปริศนาต่างๆ ส่วนมากต้องให้ผู้หญิงไขเกือบจะทุกอย่างเลย เหมือนโดนลดบทบาทความเป็นพระเอกแล้วไปเน้นเด่นตัวละครผู้หญิงแบบอวยสุดขีดมากๆที่ทำทุกอย่างเป็นหมดนั้นนี้
ส่วนเนื้อเรื่องก็สนุกอยู่แหละฉากแอ๊คชั่นนี้คือก็จัดเต็มเกือบทั้งเรื่องเลยอิ่มอยู่ แต่ไม่โอเคสุดๆที่Indiana Jonesโง่แทนที่จะเป้นคนที่มีประสบการณ์เยอะมาก T T
7.5/10
ตัวหนังจะเล่าเรื่องใน 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกจะเกิดในปี 1944 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนเลยว่าถึงแม้ แฮร์ริสัน ฟอร์ด เองอายุ 80 แล้ว บู๊ได้สะใจมาก หลังจาก ภาค 1-5 คงจำไหมว่า เป็นภาพยนตร์ ประวัติศาสตร์ เพียงแค่ปิดตำนาน อินเดียน่าโจนส์ และทำให้ภาพยนตร์มีความสนุกไปกับตัวละคร และการผจญภัยภาพสวยมากเลยผู้กำกับฝีมือยอดเยี่ยมถึงแม้ว่าจะปิดตำนานแล้ว หลังจาก อินเดียน่า ก็ได้เล่าเรื่องว่า เคยกินน้ำของพระแม่กาลีเพราะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และงหลังจากนั้น ก็เป็นภาพยนตร์ มีความฮานิดๆ
10/10
รีวิวหนัง : Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023)
แนว : แอคชั่น, ผจญภัย, คลาสสิคสไตล์
ช่องทาง : ทางโรงภาพยนตร์
สปอยล์ : ตามความเหมาะสม
คะแนน 7.5/10
ใครที่ติดตามร้านมั่นคงมาตลอด จะทราบว่าผมนั้นชื่นชอบตัวละครหนังที่โลดแล่นในโลกมายามายาวนานกว่า 40 ปี นั่นก็คือ อินเดียน่า โจนส์ นั่นเอง ชอบไม่ชอบเปล่า ต้องยอมรับว่าได้รับอิทธิพลหรือแรงจูงใจหรือจะเรียกอะไรก็ช่าง ทำให้การแต่งตัวของผมในปัจจุบัน ได้รับแรงบันดาลใจ (จริงๆควรเรียกก็อปปี้) มาจาก ด็อกเตอร์โจนส์
และบ้าจนครั้งหนึ่งเคยนำกระเป๋าอินเดียโจนส์มาขายในร้านเมื่อสิบกว่าปีก่อน ขายจนลูกค้าต่างก็บ้าซื้อมาสะพายตามกันไม่รู้กี่ร้อยคน เป็นความสนุกเมื่อครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ใครอยากรู้ที่มาต้องคลิกอ่านกัน เอาเป็นว่าติดตามดูหนัง Indiana Jones มาตั้งแต่ภาค 1 นั่นก็คือ Raider of the lost Asks (1981)
แฮริสัน ฟอร์ด แสดงเป็น Indiana Jones นักโบราณคดีที่ตามหาวัตถุโบราณล้ำค่า หายาก และมีอิทธิปาฎิหารย์และอาถรรพ์เกี่ยวกับวัตถุโบราณนั้นๆ และหนังตามไล่ล่าแนวนักผจญภัย เป็นหนังย้อนพีเรียด ธีมหนังแบบนักโบราณคดี และที่สำคัญ ความเป็นอินเดียน่าโจนส์ก็จะถูกผูกกับนาซีเยอรมัน ว่ากันว่ายุคนั้นนาซีคลั่งของศักดิ์สิทธิ์
เรื่องย่อ อินเดียน่าโจนส์ ต้องไปพัวพันกับกงล้อเวลาของอาร์คิมิดิส ซึ่งเป็นที่ต้องการของอดีตนาซีเยอรมันเพื่อจะเอามาย้อนเวลาเพื่อเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่ฮิตเลอร์ทำให้กองทัพของนาซีพ่ายแพ้ต่อสงคราม และก็เป็นหน้าที่ของอินเดียน่าโจนส์ที่ต้องพิทักษ์รักษาวัตถุโบราณเพื่อมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ พล็อตง่ายๆตามเดิมแบบที่เคยดู
หนังภาคนี้ไม่ใช่การกำกับของสตีเวน สปีลเบิร์ก แต่ก็เป็น Director ให้กับหนังแฟรนไชส์เรื่องนี้ หนังเปิดตัวด้วยธีมที่คุ้นเคย ถูกใจอยู่เหมือนกันกับเนรมิตให้ปู่อินดี้ของเราย้อนอายุกลับไปเหมือนช่วงภาคแรกๆ มายาของ AI ช่วยให้เราได้เห็นปู่อินดี้ได้ยืดเส้นยืดสายกระโดดโลดเต้นของขบวนรถไฟ อาจจะมีความไม่เนียนบ้างให้ถือว่าช่างมัน
ในภาคนี้การลำดับภาพและการเล่าเรื่องขาดความกระชับไปบ้าง หาจุดลงไม่ค่อยได้ เหมือนตั้งใจสร้างไปเรื่อยๆ ให้ตัวละครไล่ล่ากันไปตามใจชอบ หนังไม่พีคหรือสนุกจนไม่กระพริบตา และมุขฮาๆแอบอมยิ้มตามสไตล์ของอินเดียน่ายังพอมีอยู่ แต่มันไม่พรืดเหมือนเก่า แอบเนือยบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ว่ากัน เพราะโดยรวมยังคงสนุกอยู่
หนังปูพื้นตอนปู่อินดี้ยังหนุ่มว่ามีอดีตที่เกรียงไกรขนาดไหน แล้วก็ตัดมาในยุคที่ปู่อินดี้ถูกกาลเวลาเซาะกร่อนให้กลายเป็นอาจารย์โบราณคดีที่ถูกไล่ให้เกษียณ ตัวหนังทำให้แอบใจหายกับความยิ่งใหญ่ของตัวละคร แต่ก็ทำให้เรารู้สึกถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของทุกสรรพสิ่ง แล้วหนังก็ดึงให้ปุ่อินดี้ต้องออกแรงไว้ลายอีกครั้งตอนแก่
โทนของหนัง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉาก โทนสี และเพลงประกอบ รวมถึงมิตรสหายที่เคยร่วมแสดงกันมาก็กลับมาเช็คชื่อกันครบๆ หนังถูกดึงให้แฟนๆของอินดี้ย้อนกลับไปสัมผัสความสุขที่เคยผ่านมาทุกๆภาคได้ไม่ยากเย็นนัก อินดี้ภาคนี้ยังคงถูกกำกับให้พอมีแรงต่อกรกับเหล่านาซีหลงยุคได้อยู่ เสน่ห์ต่างๆที่เคยเห็นก็มีมาในภาคนี้
หนัง Indiana Jones ภาค 5 อาจจะทำให้หลายคนดูแล้วรู้สึกว่าไม่สุดนัก แต่ถือว่าทุกอย่างทำออกมาได้ปราณีตพอสมควร มิได้สร้างแบบสุกเอาเผากินแต่อย่างใด ภาคนี้หลายคนอาจจะมองอินดี้ด้วยความเห็นใจและแอบปลงไปกับคุณปู่ เพราะภาพจำที่เราเคยเห็นอินดี้มาตลอดก็คือนักโบราณคดีที่เก่ง กล้า รอบรู้ มีไหวพริบ เอาตัวรอด และมีอารมณ์ขัน
หนังภาคนี้ดูได้สนุกแบบไม่ต้องตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ใครอยากเห็นอะไร ต้องการความสนุกแบบเก่าก่อน ภาคนี้ก็ยังคงมีให้ชมกันอย่างครบถ้วนกระบวนความ คะแนนให้ตามความเป็นจริงโดยมิได้มีความลำเอียงหรือไบแอสแต่อย่างใด และหากถือว่าเป็นการให้กำลังใจเพื่อนเก่ายิ่งต้องไปดูกันให้ได้
ขอให้คุณปู่อินดี้สุขภาพแข็งแรง อยู่แสดงภาค 6-7-8 ให้พวกเราได้ดูกันอีกต่อไปด้วยเทอญ…..
มั่นคงฟิล์ม
คะแนน 7.5/10
รีวิว : Indiana Jones and the Dial of Destiny
การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s
ย้อนกลับไป Indiana Jones เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สุดในฮอลลีวูด จากความสำเร็จของไตรภาคหลักในยุค 80s ที่เป็นการผนึกกำลังกันของสามยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิด Star Wars ที่เป็นทั้งผู้สร้างและเจ้าของไอเดียหนังชุด Indiana Jones ซึ่งได้ดึงเอาเพื่อนสนิทอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดมากำกับหนัง และมอบบทอินเดียน่า โจนส์ ให้กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนั้น จากบทฮาน โซโลในหนังระดับบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Wars ก่อนที่จะมีการกลับไปสร้างภาคต่ออีกครั้งในปี 2008 แต่กลับไม่ได้รับคำชมมากเท่า 3 ภาคแรก จนกระทั่งล่าสุด ดิสนีย์ ที่เพิ่งซื้อกิจการลูคัสฟิล์มมาไม่นาน ขอส่งท้ายตำนานอีกครั้งด้วยหนังภาคที่ 5 อย่าง ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ โดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็นการส่งท้าย ด้าน สปีลเบิร์กและลูคัส กลับมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง และส่งต่อหน้าที่ผู้กำกับให้ เจมส์ แมนโกลด์ จาก The Wolverine และ Ford V Ferrari
สำหรับ The Dial of Destiny พาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ช่วงเวลา 12 ปีหลังจากภาคก่อน เมื่ออินเดียน่า โจนส์ เดินทางมาสู่วัยเกษียณ ชีวิตของเขาหมดความหมายอีกต่อไป เมื่อเขากำลังจะหย่าร้างกับภรรยาหลังสูญเสียลูกชายไปในสงคราม จนกระทั่งได้พบกับ เฮเลน่า (รับบทโดย ฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์) ลูกสาวบุญธรรม ทายาทของเพื่อนสนิท ที่โผล่มาหาเขาเพราะต้องการรู้เรื่องราวของ สิ่งของโบราณอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถพาให้ผู้ครอบครองเดินทางย้อนเวลาได้ ซึ่งสมบัติชิ้นนี้ ก็เป็นที่หมายปองของ วอลเลอร์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซ่น) อดีตนาซีศัตรูเก่าของอินเดียน่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการ NASA นำไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่เพื่อตามหาสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือผู้ประสงค์ร้าย
Indiana Jones and the Dial of Destiny ถือเป็นหนังภาคส่งท้ายที่ค่อนข้างน่าพอใจ และได้บรรยากาศแบบเก่าๆกลับมาครบ เหมือนหนังพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปสมัยปลายยุค 80s ถึงต้นยุค 90s อีกครั้ง เพราะถ้าไม่นับเรื่องของ CGI ที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย Mood & Tone ของหนังมีความคล้ายคลึงกับหนังยุคนั้น เหมือนหนังถูกสร้างและแช่แข็งเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกมาฉายตอนนี้ ทำให้บรรยากาศแบบเดิมๆจากหนังไตรภาค กลับมาพอสมควร ใครที่คิดถึงหนังสไตล์นี้น่าจะพึงพอใจ เพราะแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ในมุมหนึ่งมันก็ดูค่อนข้างจะโบราณไปบ้าง แต่ในมุมหนึ่งมันก็มีความ Old School เป็นความคลาสสิคที่นานๆกลับมาดู ก็เป็นรสชาติที่หลายคนคิดถึง
องค์ประกอบต่างๆของหนังภาคนี้ ดูจะคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆที่ผ่านมา ในด้านของเส้นเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เน้นเล่าการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามลายแทงและหลักฐาน เพื่อตามหาสมบัติก่อนที่ตัวร้ายจะคว้าไป และระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่ก็จะเป็นไปตามเอกลักษณ์ของหนังสไตล์นี้ เนื่องด้วยพล็อตเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงปี 30s-60s ทำให้ฉากแอ็กชันส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในป่า หรือตัวเมืองที่ค่อนข้างมีความโบราณ แต่การตัดต่อก็ทำออกมาได้ค่อนข้างเร้าอารมณ์ มีผสมกับอารมณ์ขันที่หนังมีอยู่เสมอ บวกกับเพลงธีมของ Indiana Jones ที่ทุกครั้งที่ใส่มา ยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์ของหนังมาแบบเต็มๆ
สำหรับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 80 ปี อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้พยายามจะให้ตัวละครอินเดียน่า โจนส์ในภาคนี้ หนุ่มกว่าวัยแต่อย่างใด หนังได้ใส่คาแรคเตอร์ในแบบวัยเกษียณเข้าไปด้วย มีกลิ่นความเป็นมนุษย์ลุงเบาๆ และช่วงองก์ที่ 3 ของหนังสำหรับภาคนี้ ถือมีบทส่งท้ายสำหรับอินเดียน่า โจนส์ ได้อย่างน่าพอใจ หนังพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คาดคิดพอสมควร ยิ่งสำหรับตัวละครที่เป็นนักโบราณคดี การที่หนังพาไปไกลขนาดนั้น ถือว่าไม่ธรรมดา (แต่ขออนุญาตไม่สปอยล์ตรงนี้ เพื่ออรรถรสของผู้ชม) เป็นการปิดฉากสำหรับแฟรนไชส์หนังผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าพึงพอใจ ใครที่เป็นแฟนหนังแนวล่าขุมทรัพย์ ตามหาสมบัติก็ไม่ควรพลาดกัน
เจมส์ แมนโกลด์
ดูหนังออนไลน์ เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยสัญชาติอเมริกันปี 2023 กำกับโดยเจมส์ แมนโกลด์ ซึ่งร่วมเขียนบทร่วมกับเดวิด โคเอปป์ และทีมเขียนบทของเจซและจอห์น-เฮนรี บัตเตอร์เวิร์ธ เป็นภาคที่ห้าและเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ซีรีส์ Indiana Jones และภาคต่อของ Indiana Jones และ Kingdom of the Crystal Skull (2008) นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ด, จอห์น รีส-เดวีส์และคาเรน อัลเลนที่กลับมารับบทอินเดียน่า โจนส์, ซัลลาห์ และแมเรียน เรเวนวูด
ตามลำดับ ในขณะที่นักแสดงใหม่ ได้แก่ ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์, อันโตนิโอ แบนเดอรัส, โทบี้ โจนส์, บอยด์ โฮลบรูค, เอธานน์ อิสิดอร์ และแมดส์ มิคเคลเซ่น เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1969 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอินดี้และเฮเลนา ลูกสาวของพ่อทูนหัวที่ห่างเหินกัน ซึ่งพยายามค้นหาวัตถุที่ทรงพลังต่อหน้าเจอร์เก้น โวลเลอร์ นักวิทยาศาสตร์ของนาซีที่ผันตัวมาเป็น NASA ซึ่งวางแผนจะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่สอง
Dial of Destiny เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวในซีรีส์ที่ไม่ได้กำกับโดยสตีเว่น สปีลเบิร์ก หรือไม่ได้คิดโดยจอร์จ ลูคัส โดยทั้งสองคนรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารแทน นอกจากนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในซีรีส์ที่พาราเมาท์ พิคเจอร์สไม่ได้จัดจำหน่าย หลังจากวอลต์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์เข้าซื้อลูคัสฟิล์ม และลิขสิทธิ์ภาพยนตร์สำหรับภาคต่อในอนาคต Paramount ยังคงสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์สี่เรื่องแรกและเครดิตร่วมที่เหลือ
แผนสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones ภาคที่ 5 ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เมื่อมีการทำข้อตกลงกับ Paramount ในการผลิตภาคต่อของ Raiders of the Lost Ark (1981) สี่ภาค ลูคัสเริ่มค้นคว้าอุปกรณ์วางแผนที่เป็นไปได้สำหรับภาพยนตร์เรื่องที่ 5 ในปี พ.ศ. 2551 และในที่สุดโคเอปป์ก็ได้รับการว่าจ้างให้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี พ.ศ. 2559 มีกำหนดวันฉายในปี พ.ศ. 2562
ซึ่งต่อมาเกิดความล่าช้าหลายครั้งเนื่องจากการเขียนใหม่และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2018 Jonathan Kasdan เข้ามาแทนที่ Koepp และออกจากโครงการไปในที่สุด เดิมทีสปีลเบิร์กถูกกำหนดให้เป็นผู้กำกับ แต่ต้องลาออกจากตำแหน่งในปี 2020 โดยมี Mangold เข้ามาแทนที่ การถ่ายทำเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 ในสถานที่ต่างๆ รวมถึงสหราชอาณาจักร อิตาลี และโมร็อกโก โดยจะเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
จอห์น วิลเลียมส์ นักแต่งเพลงแฟรนไชส์ที่รู้จักกันมายาวนานกลับมาเรียบเรียงและกำกับดนตรีประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสถาบัน 96th Academy รางวัลและเพลงประกอบดนตรีประกอบยอดเยี่ยมสำหรับวิชวลมีเดียในงานประกาศผลรางวัลแกรมมี่ประจำปีครั้งที่ 66 โดยวิลเลียมส์ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาการประพันธ์ดนตรีประกอบยอดเยี่ยมสำหรับเพลงของเฮเลนา
Indiana Jones and the Dial of Destiny เปิดตัวรอบปฐมทัศน์นอกการแข่งขันในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 76 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 และเข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนโดย Walt Disney Studios Motion Pictures นักวิจารณ์ยกย่องภาพยนตร์เรื่องนี้จากการแสดงของ Ford โดยสังเกตว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยนำ “สมบัติทางภาพยนตร์” ชิ้นสุดท้ายมาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่วิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าไม่น่าตื่นเต้นเท่าภาคก่อน ๆ ทำรายได้ไปทั่วโลก 384 ล้านเหรียญ กลายเป็นระเบิดบ็อกซ์ออฟฟิศเนื่องจากขาดความดึงดูดใจจากผู้ชมในวงกว้างและงบประมาณโดยรวมที่มีราคาแพง โดยคาดการณ์ว่าดิสนีย์จะขาดทุนประมาณ 100 ล้านเหรียญ
ในปีพ.ศ. 2487 นาซีจับกุมอินเดียนาโจนส์และนักโบราณคดีอ็อกซ์ฟอร์ด เบซิล ชอว์ ขณะที่พวกเขาพยายามดึงหอกแห่งลองจินัสมาจากปราสาทในเทือกเขาแอลป์ของฝรั่งเศส นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เจอร์เกน โวลเลอร์แจ้งผู้บังคับบัญชาของเขาว่าแลนซ์เป็นของปลอม แต่เขาได้พบครึ่งหนึ่งของหน้าปัดของอาร์คิมิดีส ซึ่งเป็นกลไกแอนติไคเธอราที่สร้างขึ้นโดยอาร์คิมิดีส นักคณิตศาสตร์ชาวซีราคูซานโบราณ ซึ่งเผยให้เห็นรอยแยกของเวลา ทำให้สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ อินดี้หลบหนีขึ้นไปบนรถไฟที่มุ่งหน้าสู่กรุงเบอร์ลินซึ่งเต็มไปด้วยโบราณวัตถุที่ถูกปล้นและปล่อยเบซิลออกมา เขาได้รับชิ้นส่วน Dial และทั้งสองก็หนีออกจากรถไฟก่อนที่กองกำลังพันธมิตรจะตกราง
ในปี 1969 อินดี้กำลังจะเกษียณจาก Hunter College ในนิวยอร์กซิตี้ แมเรียนเพิ่งจากเขาไปและยื่นฟ้องแยกทางทางกฎหมายเนื่องจากอาการซึมเศร้าของอินดี้ หลังจากที่มัตต์ ลูกชายของพวกเขาเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม เฮเลนา ชอว์ นักโบราณคดี ลูกสาวทูนหัวของอินดี้ ได้มาเยี่ยมเยียนและต้องการวิจัยไดอัลโดยไม่คาดคิด อินดี้เตือนว่าเบซิล พ่อผู้ล่วงลับของเธอหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเรื่องไดอัล ก่อนที่จะทิ้งมันให้อินดี้ทำลายซึ่งเขาไม่เคยทำ
ขณะที่อินดี้และเฮเลนาดึงไดอัลครึ่งหนึ่งมาจากเอกสารสำคัญของวิทยาลัย ผู้สมรู้ร่วมคิดของโวลเลอร์ก็โจมตีพวกเขา CIA ช่วยเหลือ Voller ซึ่งปัจจุบันทำงานให้กับ NASA ในชื่อ “ดร. ชมิดต์” เฮเลนา ซึ่งเปิดเผยว่าเป็นนักลักลอบขนของโบราณวัตถุ หนีไปพร้อมกับไดอัลเพื่อประมูลมันในตลาดมืด อินดี้ถูกใส่ร้ายในข้อหาฆาตกรรมเพื่อนร่วมงานสองคน ทำให้เขาต้องหลบหนีผ่านขบวนพาเหรดลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอะพอลโล 11 จากนั้นก็เป็นการประท้วงต่อต้านสงคราม เขาตามหาซัลลาห์เพื่อนเก่าของเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นคนขับแท็กซี่ในนิวยอร์ก
ซัลลาห์คาดเดาว่าเฮเลนาน่าจะประมูลไดอัลในแทนเจียร์ จากนั้นจึงช่วยอินดี้หนีออกนอกประเทศ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในแทนเจียร์ อินดี้ขัดขวางการประมูลส่วนตัวที่ผิดกฎหมายของเฮเลนา แต่โวลเลอร์และลูกน้องของเขามาถึงและขโมยสิ่งประดิษฐ์นั้นไป อินดี้ เฮเลนา และเท็ดดี้ คูมาร์ เพื่อนสนิทวัยรุ่นของเธอนั่งรถตุ๊กตุ๊กไล่พวกเขาไปตามถนน ซีไอเอสกัดกั้นโวลเลอร์หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ให้เขาก่อเหตุ แต่กลุ่มเพื่อนของเขาสังหารเจ้าหน้าที่และขโมยเฮลิคอปเตอร์ของพวกเขาไป
โวลเลอร์ตามรอยทั้งสามไปยังกรีซและร่วมมือกับเรนัลโด เพื่อนเก่าของอินดี้ ซึ่งเป็นนักดำน้ำทะเลมืออาชีพ ตามคำแนะนำของการวิจัยของ Basil พวกเขาดำดิ่งลงสู่ซากเรืออัปปางในทะเลอีเจียนโบราณ และรับแผ่นจารึก “กราฟิโกส” ที่มีเส้นทางไปยังอีกครึ่งหนึ่งของหน้าปัด โวลเลอร์มาถึงและสังหารเรนัลโด กลุ่มของอินดี้หลบหนีและมุ่งหน้าไปยังซิซิลี โดยมีโวลเลอร์ไล่ตาม
ภายในถ้ำ Ear of Dionysius อินดี้และเฮเลนาพบสุสานของอาร์คิมิดีส ครึ่งหลังของไดอัล และนาฬิกาข้อมือสมัยศตวรรษที่ 20 บนแขนโครงกระดูกของอาร์คิมิดีส โวลเลอร์ปรากฏตัวและจับอินดี้ทำให้เขาบาดเจ็บ เฮเลนาและเท็ดดี้หลบหนีและไล่ตามโวลเลอร์ หลังจากประกอบไดอัลอีกครั้ง โวลเลอร์เผยแผนการของเขาที่จะเดินทางย้อนเวลากลับไปในปี 1939 เพื่อลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และช่วยนำเยอรมนีไปสู่ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สนามบิน โวลเลอร์เปิดใช้งานหน้าปัดและค้นหารอยแยกเวลาบนท้องฟ้า อินดี้ถูกจับเป็นเชลยบนเครื่องบินที่ถูกขโมยของโวลเลอร์ ขณะที่เฮเลนาเก็บอุปกรณ์ลงจอด เท็ดดี้ติดตามพวกเขาไปในเครื่องบินอีกลำหนึ่ง
ขณะเข้าใกล้รอยแยก อินดี้ตระหนักว่าการเคลื่อนตัวของทวีปอาจทำให้พิกัดไทม์ไลน์เปลี่ยนแปลงไป แทนที่จะเป็นปี 1939 กลุ่มนี้มาถึงการล้อมเมืองซีราคิวส์เมื่อ 212 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพที่ทำสงครามยิงเครื่องบินของโวลเลอร์ตก โดยเชื่อว่าเป็นมังกร อินดี้และเฮเลนากระโดดร่มออกมาก่อนที่เครื่องบินจะตก
ทำให้ทุกคนบนเครื่องเสียชีวิต ขณะที่เท็ดดี้ลงจอดอย่างปลอดภัย อาร์คิมิดีสพบศพและนาฬิกาข้อมือของโวลเลอร์อยู่ในซากปรักหักพัง เขาให้ Indy the Dial แต่เก็บนาฬิกาไว้ อินดี้และเฮเลนาเรียนรู้ว่าอาร์คิมิดีสสร้างหน้าปัดเพื่อนำผู้ใช้จากอนาคตผ่านรอยแยกที่นำไปสู่ 212 ปีก่อนคริสตกาลเท่านั้น เมื่อรอยแยกเริ่มพังทลาย อินดี้อยากจะอยู่ข้างหลังโดยรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะกลับไปแล้ว เฮเลนา กลัวความขัดแย้งเรื่องเวลาและไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ทำให้อินดี้หมดสติไป
Indiana Jones 4 and the Kingdom of the Crystal Skull (2008) ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว
Indiana Jones 2 and the Temple of Doom (1984) ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 2 ตอน ถล่มวิหารเจ้าแม่กาลี
Pirates of the Caribbean 4 (2011) ผจญภัยล่าสายน้ำอมฤตสุดขอบโลก