เรื่องย่อ : In the Line of Fire (1993) แผนสังหารนรกทีละขั้น ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
เรื่องย่อ In the Line of Fire (1993) แผนสังหารนรกทีละขั้น
เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ แฟรงก์ ฮอร์ริแกน ไม่สามารถช่วยเคนเนดี้ได้ แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้มือสังหารที่ชาญฉลาดโค่นประธานาธิบดีคนนี้ไป
วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน
Castle Rock Entertainment
In the Line of Fire (1993) แผนสังหารนรกทีละขั้น (ดูทาง Netflix)
________________________________________
โคตรสนุก ชอบมาก จริงๆมันก็คือ Olympus Has Fallen (2013) ภาคไม่เสียสติ พระเอกเป็นเจ้าหน้าที่อารักขาประธานาธิบดี ผู้มีบาดแผลจากความพลาดพลั้งในอดีตเหมือนกัน แต่ชอบที่ในเรื่องนี้ ปมฝังใจหลายสิบปีของ คลินต์ อีสต์วู้ด คือการที่เขาไม่สามารถช่วยชีวิต จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ไว้ได้ (และหนังขยี้เรื่องนี้ไปไกลมากๆ ถึงสาเหตุ ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เขาพลาด) เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อเขาได้เข้าไปพัวพัน กับแผนการลอบสังหารประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยเหมือนว่าวายร้ายจะสนใจเขาเป็นพิเศษจากอดีตที่ล้มเหลว จึงติดต่อสนทนากับเขาเป็นหลัก และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้กลับเข้าไปทำหน้าที่หน่วยอารักขาอีกครั้ง
.
ท่ามกลางเทคโนโลยีที่ดูล้าหลัง สิ่งที่ทำให้หนังไม่เก่าเลยคือเสน่ห์ของบทภาพยนตร์ ความคมกริบของบทภาพยนตร์ หรือการออกแบบตัวละครที่แข็งแรงไม่ว่าจะเป็นตัวละครเอก หรือตัวร้าย ฉากที่สนุกของหนังกลับไม่ใช่ฉากไล่ล่า แต่เป็นบทสนทนาอันเชือดเฉือนระหว่างคนสองคนที่ต่างมีเป้าหมายของตัวเอง (ปกป้อง & สังหารประธานาธิบดี) สิ่งที่ทำให้เราชอบ In the Line of Fire มากๆ คือความสัมพันธ์ของตัวเอกและตัวร้าย หนังผลักความสัมพันธ์ของพวกเขาไปไกลมากๆ จนเกิดเป็นมิติที่มากกว่าแค่ศัตรูที่ต้องกำจัด หรือเอาชนะ ยิ่งหนังพยายามเผยใจความสำคัญของเรื่อง เผยให้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละคร เรากลับรู้สึกเข้าอกเข้าใจพวกเขาทั้งคู่มากขึ้น ทำให้ดราม่าของหนังแข็งแรงมากพอๆกับเส้นเรื่องทริลเลอร์ โดยเฉพาะองค์ท้าย
.
ตอนแรกเรานึกว่าปมความผิดพลาดในอดีตของพระเอกจะเป็นแค่ Motivation เล็กๆที่เซ็ตติ้งให้ตัวละครกระตือรือร้นพร้อมชนกับทุกอย่าง แต่จริงๆเขาเขียนไปไกลกว่านั้นมากๆ ความผิดพลาดของเขาถูกขยายให้กลายเป็นบาดแผลในอดีต ที่เขาไม่สามารถหลุดพ้นได้ กินระยะเวลามาหลายทศวรรษที่คอยย้ำเตือนถึงความล้มเหลวของเขา มันสามารถมองในสายตาของคนทำงานที่ผิดพลาด หรือการตกอยู่ในสถานะของคนไม่เอาไหน ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเขาถูกตั้งคำถามถึงความรู้สึกลึกๆว่า แท้จริงแล้วเขาพร้อมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อมนุษย์คนอื่น (ประธานาธิบดี) จริงๆหรือ การต่อสู้ของตัวละครเอกในหนังเลยเข้มข้นมากๆ เพราะมันคือการพิสูจน์ใจของตัวเอง ในแบบเดียวกับที่ตัวร้ายบอกว่าตนพร้อมจะแลกชีวิตกับเป้าหมายสูงสุด
.
คลินต์ อีสต์วู้ด เล่นดีมาก ตัวละครเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ค่อยๆ ปลดเปลื้องจิตใจภายในออกมาช้าๆอย่างงดงาม ชอบที่หนังทรีดเขาเป็นชายแก่ๆ แทบจะหมดสภาพในการทำงานจนโดนคนอื่นล้อ (มีช่วงหนึ่งที่ป่วยด้วย แบบป่วยจริงจัง ป่วยจนหลอนและพางานเสียหมด) แต่ก็ยังสู้ต่อไปราวกับสิ่งที่ทำอยู่คือการแก้ตัว คือโอกาสที่สองที่เขาต้องทำให้สำเร็จ แต่คนที่สุดยอดจริงๆ คือ จอห์น มัลโควิช เล่นเป็นตัวร้ายที่มิติพอๆกับตัวละครเอก นอกจากจะแปลงร่างทั้งเรื่อง ยังมีหลายโหมดทางอารมณ์ด้วย เขาดูเป็นโรคจิต น่ากลัว ฆ่าคนแบบเลือดเย็น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็นับถือว่าตัวพระเอก เกิดเป็นมิตรภาพประหลาดๆขึ้น ซึ่งเราชอบมาก (เรื่องนี้ทำให้มัลโควิชเข้าชิงออสการ์สมทบชายยอดเยี่ยม) ที่สำคัญ ปืนที่เขาประดิษฐ์เท่มาก โคตรคลาสสิค
.
หนังสนุกมากๆ อยากให้ตามไปดูกัน เป็นงานของ วูล์ฟกัง ปีเตอร์เซน (Das Boot, Air Force One, Troy) พล็อตเรื่องอาจจะดูไม่ได้ใหม่ แต่ก็มีมิติที่น่าสนใจ และร่วมสมัยอยู่ โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับภัยของชาติที่เกิดมาจากผลผลิตของระบบตัวเอง / หนังมีสตรีมมิ่งที่ Netflix ครับ
________________________________________
In the Line of Fire (dir. Wolfgang Petersen) – 8/10
#แนะนำให้ดู In the Line of Fire (★★1/2) หนังแนวลอบสังหารที่อายุเยอะแล้ว คนแสดงคนกำกับก็อายุเยอะเช่นกัน แต่ก็สนุกสนาน มันส์ และตื่นเต้นแรงสูงแบบห้ามพลาดเป็นอันขาด!
แฟรงค์ ฮอร์ริแกน (Clint Eastwood) ตำรวจลับมือเก๋าที่ดำรงตำแหน่งนี้มานานมากครับ เขาอยู่ในเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ด้วย จากเหตุครั้งนั้นทำให้แฟรงค์รู้สึกเหมือนมีตราบาปฝังอยู่ในใจเสมอมา เขาจึงพยายามทำหน้าที่ตำรวจลับอย่างดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นอีก
แต่แล้ว… การลอบสังหารกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยชายที่เรียกตัวเองว่า บู๊ท (John Malkovich) ตามชื่อของฆาตกรที่สังหารประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น หมอนี่คือฆาตกรอัจฉริยะที่วางแผนลอบสังหารประธานาธิบดีคนปัจจุบัน และที่ไม่เหมือนใครคือ มิตช์โทรไปหาแฟรงค์เพื่อแจ้งกับเขาโดยตรงว่า เขากำลังจะลอบสังหารปธน. ในไม่ช้า ขอให้แฟรงค์เตรียมรับมือไว้ให้ดี
ในขณะที่หัวหน้างานและคนอื่นๆ ในหน่วยตำรวจลับไม่ใคร่จะเชื่อเท่าไรว่านายคนนี้จะลอบสังหาร ปธน. แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับแฟรงค์ว่าหมอนี่เอาจริง และเขาต้องหาทางสืบ ล่าความจริง ลากคอมันออกมาก่อนที่มันจะทำสำเร็จ… เขาจะไม่ให้ใครมาลอบสังหารประธานาธิบดีต่อหน้าเขาอีกเป็นครั้งที่ 2!
ถ้าคุณอยากดูหนังแนวสืบสวน ชิงไหวชิงพริบ ตามล่ากันแบบที่ตัวร้ายฉลาดเป็นกรด กับนักแสดงระดับพระกาฬ พร้อมความตื่นเต้นอีกหลายกิโลขีดล่ะก็ ผมแนะนำเรื่องนี้เลยครับ ของเขาดีจริงๆ ยอมรับครับว่าตัวหนังอาจช้าไปบ้างในบางช่วง แต่ก็ได้การแสดงเยี่ยมๆ ของเหล่าดารานำมาช่วยดึงความสนใจตลอด ไฮไลท์ขนานแท้ของหนังคือ Malkovich ครับ ไม่แปลกใจเลยที่บทนี้จะส่งพี่ท่านไปชิงออสการ์ และยังแจ้งเกิดพี่ท่านในฐานะดาราดาวร้ายติดอันดับต้นๆ ของโลกภาพยนตร์ เพราะหน้าพี่แกก็ให้นะครับ โรคจิตปนอำมหิต สมเป็นนักฆ่าชั้นยอดจริงๆ ทุกฉากครับที่พี่ท่านทำหน้านิ่งๆ กับใครก็ตาม เราเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะทำอะไร จะฆ่า จะเล่นงาน หรือมีแผนอะไรในหัว เรียกว่าหนังทั้งเรื่องดู Malkovich คนเดียวก็คุ้มแล้วครับ
แผนการของบู๊ท หรือชื่อจริงว่า มิตช์ เลียรี่ในเรื่องก็เหนือชั้นมากครับ การปลอมตัวปลอมหน้าก็เนียนสุดๆ ไฮไลท์ของหนังนอกจากการปรากฏตัวของ Malkovich แล้วยังต้องยกให้ฉากที่เขากับปู่ Clint ต้องเผชิญหน้ากันผ่านโทรศัพท์ โทรหากันเมื่อใดก็เข้มมันทุกฉากอ้ะครับ ส่งอารมณ์กันเยี่ยมมาก แล้วคิดดู ส่งผ่านโทรศัพท์ด้วยนะครับ แน่ทั้งคู่จริงๆ ดูๆ ไปก็รู้สึกครับว่าทั้งพระเอกและผู้ร้าย มีทั้งความนับถือและเกลียดชังให้กัน ถือเป็นความสัมพันธ์ที่ช่วยให้หนังออกรสดีไม่ใช่น้อย
อ้อ เห็นชมแต่ Malkovich ใช่ว่าปู่ Clint เราจะธรรมดาครับ แกก็เล่นได้เก๋าตัวพ่อเช่นกัน แม้ดูๆ ไปจะรู้สึกเหมือนดูบทแฮร์รี่ คัลลาแฮน เวอร์ชั่นใกล้เกษียณก็เถอะ แต่ที่ผมชอบในเรื่องอย่างหนึ่งคือพระเอกแก่แล้ว แก่จริงครับ ไม่ได้เหมือนหนังอีกหลายเรื่องที่แม้พระเอกจะชรา แต่กำลังวังชาดันเหมือนหนุ่มๆ อันนั้นก็เน้นความเว่อร์นะ ส่วนเรื่องนี้เน้นความสมจริงครับ แค่วิ่งไล่ล่าข้ามถนนข้ามตึกก็หอบซี่โครงบานแล้ว ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยเพิ่มความลุ้นให้หนังได้อีกเยอะครับ เพราะพระเอกแพ้ผู้ร้ายเรื่องสุขภาพกำลังวังชาอย่างหนึ่งล่ะ แต่ดีที่พี่ท่านฉลาดครับ มีสมองเลยพอจะสู้รบปรบมือกับผู้ร้ายได้
นักแสดงเจ้าอื่นๆ ที่มาช่วยเสริมความเยี่ยมให้หนังก็มี Rene Russo ในบทตำรวจลับลิลลี่ เรนส์ ที่มาประกบกับแฟรงค์และทำท่าจะมีใจให้กันด้วย แม้จะขวางหูขวางตาไปบ้างในเรื่องอายุ แต่ก็พอกล้อมแกล้มน่ะ กับ Dylan McDermott พระเอกหน้าหล่อที่ตอนนั้นกำลังทำท่าจะดัง (แต่ตอนนี้เงียบไปซะแล้ว) มาเป็นตำรวจลับ อัล อังเดรีย คู่หูของแฟรงค์ สองรายหลังถือเป็นบทสมทบมากกว่าครับ เพราะโดนคู่พระเอกผู้ร้ายเบียดรัศมีไปตั้งเยอะ แล้วก็ยังมี Gary Cole ดาราที่นักดูหนังสมัยนั้นน่าคุ้นตาเพราะงานแกชุก แล้วก็ชอบรับบทประเภทหัวหน้าหรือไม่ก็พ่อคน เรื่องนี้ก็มีแสดงเป็นหัวหน้าของตำรวจลับที่ไม่ค่อยจะเชื่อแฟรงค์เท่าไร เพราะเห็นพี่แกเหลาเหย่แล้ว และอีกคนที่ยังไม่ดังตอนนั้น แต่ตอนนี้นักดูหนังจำหน้าได้เกือบหมดคือ Tobin Bell หรือพี่จิ๊กซอว์แห่ง Saw มาแสดงเป็นเมนโดซ่า วายร้ายที่แฟรงค์กับอัลต้องไปตามล่าตอนต้นเรื่อง
ตำนานการสร้างหนังเรื่องนี้ก็อึดใช่เล่นครับ ใช้นานพอดูกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง บทหนังเขียนโดย Jeff Maguire แห่ง Victory (หนังแข่งบอลในคุกที่ Sylvester Stallone แสดงด้วยน่ะครับ) บทนี้ก็แขวนไปแขวนมาในฮอลลีวู้ดนานระยะหนึ่ง จนกระทั่งช่วงกลางทศวรรษที่ 80 Dustin Hoffman เริ่มสนใจจะนำแสดงครับ พร้อมทั้งวางตัวคนกำกับได้แก่ Michael Apted ที่กำลังดังพอได้จาก Coal Miner’s Daughter และ Gorky Park แต่พอโปรเจคท์จะเริ่มๆ ก็โดนประกาศิตของ David Puttnam บิ๊กของค่ายโคลัมเบียในเวลานั้นผ่าลงมากลางโปรเจคท์ เพราะหนังเรื่องล่าสุดของ Hoffman อย่าง Ishtar เจ๊งสุดๆ บทหนังเรื่องนี้เลยลอยเท้งเต้งต่อไปครับ
ต่อมา Rob Reiner บิ๊กของ Castle Rock Productions ก็เห็นบทนี้เข้าครับ เลยซื้อมาจาก Maguire เป็นเงิน $1 ล้าน จากนั้นก็เริ่มดำเนินการหาคนมาแสดง คนแรกๆ ที่ว่าจะมาเล่นคือ Robert Redford แต่พี่ท่านก็ไม่เล่นครับ ทีมงานเลยหันไปหา Sean Connery ซึ่งก็ไม่เล่นอีก จนในที่สุดก็ได้ Clint Eastwood มาสนใจจะแสดง ซึ่งพอปู่ Clint แกรับเล่นก็ขอใช้สิทธิ์นิดหน่อย ว่าถ้าจะให้เขาเล่น เขาก็ขอเลือกผู้กำกับเอง ได้แก่ Wolfgang Petersen ที่ทำหนัง Das Boot ได้ประทับใจ Eastwood อย่างยิ่ง
ส่วนบทนางเอกตอนแรกก็มีการเล็งๆ ว่าจะให้ Glenn Close หรือไม่ก็ Sharon Stone มาสวมบทไป แต่ทั้งคู่ก็ไม่เล่นครับ ทำให้ทีมงานเลือก Russo เพราะช่วงนั้นเธอก็แสดงหนังใหญ่อยู่หลายเรื่องจนเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง และบทมิตช์นั่น รายแรกๆ ที่ทีมงานเล็งไว้คือ Robert Duvall หรือไม่ก็ Jack Nicholson ยิ่งรายหลังนี่โหงวเฮ้งโจ๊กเกอร์อยู่แล้ว แต่ก็นั่นล่ะครับ ทั้งสองก็บอกปัด เป็นการเปิดโอกาสให้ Malkovich ได้แจ้งเกิดเต็มๆ โดยส่วนตัวผมว่า Malkovich นี่แหละ เหมาะดีแล้ว
ดนตรีของ Ennio Morricone ช่วยเพิ่มดีกรีความลุ้นระทึกลงไปอีกเยอะเลยครับ หนังออกมาลงตัวนะ สำหรับแนวสืบสวน ที่อาจไม่ได้เน้นแอ็คชันเป็นหลัก แต่จะเน้นการใช้สมอง ตามไขคดีและความเก๋าของสองตัวเอก เรียกว่าใครชอบแนวนี้ไม่ควรพลาดล่ะครับ อร่อย ตื่นเต้น ช่วงท้ายๆ นี่ก็ลุ้นสุดๆ ไปเลยว่าแฟรงค์จะใช้วิธีไหนหยุดยั้งมิตช์ เพราะหมอนี่ฉลาดมาก เก่งสุดๆ ไปเลย ลุ้นครับ บอกได้เลยว่าตอนลอบสังหารชั้นสุดท้ายนั่นลุ้นมากๆ แล้วเจ้ามิตช์นี่ก็แผนสูงครับ มีการเล่นจิตวิทยาป่วนแฟรงค์ตลอด จนแฟรงค์เกือบโดนถอดออกจากคดีตั้งหลายรอบ
จริงๆ ผมว่าหนังก็สอนคนดูแบบกลายๆ เหมือนกันว่า ทำอะไรให้ใจเย็น มีสติเสมอ และระวังให้ดี อย่าไปสติกระเจิงกับสถานการณ์ร้ายใดๆ ง่ายจนเกินไป เพราะยิ่งเราสติเตลิดความผิดพลาดจะยิ่งมาก และเมื่อเราทำผิดมากเท่าไร ผลเสียก็ตกอยู่กับเรานั่นแหละ… ยิ่งถ้ามีคนมีแผนร้ายอยู่เบื้องหลังสถานการณ์ร้ายๆ นั้นล่ะก็… เรายิ่งเสร็จ
ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ ลงทุน $40 ล้าน โกยคืนมาได้ $176 ล้านจากทั่วโลก
สรุปนะครับถ้าอยากดูหนังลุ้น ที่มีตัวร้ายเก่งๆ เชื่อเถอะครับ เรื่องนี้ทำให้คุณเลือดสูบฉีดได้ไม่ใช่น้อยแน่นอน
The Fugitive (1993) ขึ้นทำเนียบจับตาย
Absolute Power (1997) แผนลับ โค่นประธานาธิบดี
Murder at 1600 (1997) กระชากเหมี้ยม