เรื่องย่อ : Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์ ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์ เปิดฉายรอบพิเศษหลัง 2 ทุ่มตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนนี้
• การกำกับเหมือนแข่งรถเลย ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะต้องเร่งความเร็วทะยานไปข้างหน้าตลอดการแข่ง มันต้องมีช่วงผ่อนช่วงเร่งที่แม่นยำ ซึ่ง เจมส์ แมนโกลด์ ทำสำเร็จ
• ตอนแรกกังวลกับความยาวหนังยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่พอดูจริงเพลินมาก เวลาผ่านไปเร็ว เล่ากระชับ โฟกัสเส้นเรื่องหลักคงเส้นคงวา
• เหมือนดูหนังที่ทีมแข่งรถกับผู้บริหารมีเป้าหมายคนละอย่างกัน แต่สามารถฉลองชัยชนะตัวเองได้แบบ win-win ฝั่งนึงต้องการโอกาสพิสูจน์ตัวเอง อีกฝั่งต้องการโชว์พาวและสร้างแผนการตลาด
• ชื่อหนัง Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์ ดูจะไม่ตรงปกเท่าไร(แต่ก็ถูก) ชื่อขายในทวีปอเมริกาเหนือเลยต้องบิ๊วๆ ฝั่งเมกัน vs. อิตาเลียน หน่อย ชอบที่หนังใช้ชื่อแบบ Le Mans 66 มากกว่า
เหมือนจะเล่นท่าไม่ยากแต่ทำให้เพลินและเข้มข้นตลอดสองชั่วโมงครึ่งได้นี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน คือเทียบกับ Rush แล้วต้องบอกว่าแกนเรื่องของ บางกว่ามาก (ไม่ได้เทียบว่าใครดีกว่ากันนะ ชอบทั้งคู่) ใน Rush มันจับจุดว่าเจมส์ ฮันท์ กับ นิกิ เลาด้า ที่เป็นคู่แข่งตัวฉกาจลึก ๆ แล้วเคารพกันและใช้อีกฝ่ายเป็นแรงผลักดันตัวเองให้อยากเอาชนะ ซึ่งเนื้อเรื่องมันใหญ่กว่า พาไปสำรวจข้างในตัวละครเยอะจนมีรอยแผลหรือช่วงส่วนเกินอยู่บ้าง เทียบกับ คือเส้นตรงเหมือนกันแต่กำกับแม่นเป๊ะทุกจังหวะ จนเราสนุกกับหนังมาก ทั้งตอนเล่าเรื่องที่ต้องสู้กับผู้บริหารฟอร์ดที่ชอบเข้ามาแทรกแซงเพราะห่วงภาพลักษณ์แบรนด์ และสู้กับนักแข่งทีมเฟอร์รารี่ เดือดพอกันเลย
หนังเริ่มจากบริษัทฟอร์ดในช่วงตกต่ำจะไปซื้อกิจการเฟอร์รารี่ที่ในแง่วิศวกรรมรถแข่งสุดยอดแต่บริษัทล้มละลาย ทีนี้กลายเป็นโดนหยามกลับมาเลยทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อจะล้มทีมรถแข่งเฟอร์รารี่ในสนามเลอมังส์ จ้าง ‘เชลบี้’ (Matt Damon) นักแข่งอเมริกันคนเดียวที่เคยชนะสนามเลอมังส์มาสร้างรถแข่งพร้อมหาคนขับเทพ ๆ ในอเมริกามาร่วมทีม ซึ่งปัญหาดันมีอยู่ว่าพวกกรรมการบริหารบางคนไม่ชอบขี้หน้า ‘เคน ไมล์ส’ (Christian Bale) ช่างเครื่องที่รู้จักรถเป็นอย่างดีแถมยังฝีมือขับขั้นเทพอีกต่างหาก
ถ้าว่าตามตรงแล้วชื่อหนังอาจจะควรเป็น Ford v Shelby เสียมากกว่า ฟอร์ดในที่นี้หมายรวมถึงทั้งองค์กรที่ขาดจิตวิญญาณในการพัฒนาวิศวกรรมยานยนต์ มีทีมบอร์ดบริหารที่เยอะแยะมากความ เจ้าของบริษัทเองก็ไม่ได้รักในสินค้าที่ขาย อันที่จริงแทบจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ แถมยังขาดอารมณ์ร่วมกับการแข่งรถที่ตัวเองกระหายจะล้มเฟอร์รารี่ ห่วงยอดขายแต่แผนการตลาดดันไม่มีทิศทางชัดเจน การสู้กันในหนังจึงเป็นเรื่องของคนนอกวงการรถแข่ง กับคนอย่างเชลบี้ที่ลมหายใจเข้าออกแทบจะผูกพันกับมันมาทั้งชีวิต ถ้าเชลบี้จะสร้างทีมแข่งรถขั้นเทพก็ต้องอาศัยเงินทุนไม่จำกัดจากฟอร์ด ซึ่งต้องสู้กับบอร์ดบริหาร เล่นตามเกม เขาขออะไรก็ยอมบ้าง สวนตามจังหวะที่ตัวเองไม่ควรยอม ในขณะที่สหายอย่างเคน ไมล์ส ดันเป็นคนที่อารมณ์ศิลปินมากกว่า ดีลยากกันไปอีก
แต่ที่สนุกจริงได้ลุ้นมากคือการแข่งสนามสุดท้ายที่จัดเต็มความยาวและความแรงเต็มเหนี่ยว ดู ๆ อยู่อาจมีเผลอเหยียบคันเร่งในโรงหนัง อินขนาดว่าขากลับบ้านจากรอบสื่อยังอยากสวมวิญญาณนักแข่งซิ่งบนถนนกรุงเทพฯ เลยทีเดียว ดนตรีประกอบและงานภาพสอดรับประสานกันลงตัว หนังทั้งบิ๊วอารมณ์ให้เอาใจช่วย ทั้งผ่อนคลายในบางจังหวะ ตอนจบก็ไม่ได้ฟูมฟายเกินงาม อันที่จริงมันค่อย ๆ จบได้งดงามด้วยในแง่ของการพิสูจน์ตัวเอง เหมือนกับว่าเราไม่ได้จำเป็นต้องไปแข่งกับใคร เพราะความยิ่งใหญ่คือการเอาชนะความท้าทายของตัวเอง ซึ่งทั้งเชลบี้และไมล์สทำได้สำเร็จ
Director: James Mangold (ผู้กำกับ 3:10 to Yuma, Logan, Identity, Walk the Line)
screenplay: Jez Butterworth, John-Henry Butterworth, Jason Keller
Genre: biography, drama
8/10
Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์
ค่อนข้างเป็นงานที่เซอร์ไพรซ์แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร อาจจะเพราะเราต่อติดกับหนังของ เจมส์ แมนโกลด์ มาตลอดเลย ทั้ง Identity, Walk the Line, 3:10 to Yuma, The Wolverine, Logan (ยกเว้น Knight and Day สักเรื่องนึง) แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้คิดว่า จะเป็นภาพยนตร์ที่พาเราเดินทางมาสู่ประสบการณ์นี้ อาจจะเพราะเราไม่ได้รู้เรื่องจริงของสงครามยานยนต์ ไม่ได้ทราบเหตุการณ์ เลอ มองส์ ปี 66 หรืออะไรก็ตาม แรกเริ่มมันคือภาพยนตร์ที่ชวนให้นึกถึงปลายทางแบบหนึ่ง แต่กลับหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางไปสู่จุดหมายอีกแบบได้งดงามน่าสนใจ เพราะมันไปไกลกว่าเรื่องของบริษัท อำนาจ ทุนนิยม การค้า แต่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณมนุษย์ และปณิธานที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตของตัวละครอย่างเต็มเปี่ยม
ชอบเรื่องของ การเร่ง-การผ่อน มากๆ สำหรับการแข่งขัน เลอ มองส์ ที่กินระยะเวลา 24 ชม. ความเร็วไม่ใช่ปัจจัยสำคัญเพียงหนึ่งเดียว และสำหรับ เคน ไมลส์ ชีวิตเขาก็ไม่อาจทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งตลอดเวลาได้เช่นกัน จึงพูดถึงการผ่อน การปล่อยวาง และยอมแพ้ต่อบางสิ่ง ซึ่งมันไม่เพียงแต่สอดรับกับเรื่องของการแข่งขัน แต่ยังแสดงภาพความสัมพันธ์และมิตรภาพของตัวละครออกมาอย่างกลมกลืนด้วย มันจึงไม่ใช่หนังบ้าระห่ำที่มุ่งเน้นและเสาะหาแต่ความเร็ว แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เราเห็นความใจเย็น ความสงบ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสนามแข่ง ท่ามกลางสงครมธุรกิจ หรือกระทั่งบนรถยนต์ที่ความเร็ว 7,000 รอบต่อนาที ซึ่งเรารู้สึกว่า เจมส์ แมนโกลด์ กำกับแม่นมาก บาลานซ์ดีไปหมดเลยทั้งพาร์ทแอคชั่น พาร์ทดราม่า มันอาจจะไม่ได้ระเบิดระเบ้อโฉบเฉี่ยวแต่ก็ระทึกบีบหัวใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เมื่อหนังมันพูดถึงบททดสอบความเป็นมนุษย์ของตัวละคร
มันเป็นหนังที่พูดเรื่อง ชัยชนะ-พ่ายแพ้ อย่างเข้มข้นและหลากหลายมิติมากๆ คำว่าชนะของมนุษย์มีหลากหลายรูปแบบ กระทั่งเรื่องๆเดียวก็สามารถมองได้อย่างมากมายว่าอะไรคือสิ่งที่ชนะ อะไรคือสิ่งที่แพ้ เพราะแต่ละคนล้วนมีหมุดหมายปักอยู่เป็นของตัวเอง Ford v Ferarri หยิบเอาประเด็นนี้มาเล่าอย่างน่าสนใจในเกมสงครามธุรกิจที่ทุกคนพยายามเป็นผู้ชนะในแบบของตน การต่อสู้เริ่มขึ้นตั้งแต่การประกอบรถ คิดค้นนวัตกรรม การจัดหาคนแข่งขัน หรือกระทั่งในสนาม รถยนต์กับคนขับก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ตัดสิน หากแต่ยังเป็นพิต มีทีมงานอีกมากมายที่สามารถเล่นเกม พลิกผันสถานการณ์ได้เช่นกัน (ซึ่งสนุกมาก) กระนั้น สิ่งที่ทำให้เราอินที่สุดคือการที่หนังตั้งคำถามว่า “ชัยชนะเป็นของใคร” และอะไรที่เป็นตัววัดชัยชนะ การเข้าถึงเส้นชัยก่อน ศักดิ์ศรี กำไรธุรกิจ ฯลฯ มันเป็นหนังที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้เยอะ แต่ก็เพื่อผลักตัวละครอย่าง เคน ไมลส์ ออกมา หลายๆคนอาจจะไม่รู้สึกว่า Ford v Ferrari เป็นชื่อหนังที่เหมาะสม แต่เรากลับรู้สึกว่าเพราะชื่อนี้นี่แหละหนังถึงเจ็บ แต่ในระหว่างที่เจ็บ มันก็โรแมนติกงดงามอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน
Ford v Ferrari อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังบันเทิงที่สุดประจำปีนี้เรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ มันเป็นเรื่องราวที่ทรงพลัง ผ่านการถักทอมาอย่างดี แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็นแมส หนังเล่าสนุก เต็มไปสีสัน และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของคอมเมดี้ที่น่าจดจำ รวมไปถึงฉากแข่งรถก็สนุกเร้าใจซึ่งเล่าได้ดีทั้งภาพและเสียง (โดยเฉพาะอย่างหลังที่กระหึ่มสะใจจน Digital Soundcheck กระเด็นไปเลย) อีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงเป็นการแสดงของ คริสเตียน เบล และ แมตต์ เดมอน แน่นอนว่าสุดยอดทั้งคู่ เบล กลับมาในโหมดที่มีแววน่าจับตาเฉกเช่นตอน The Fighter (2010) แต่ที่แอบเซอร์ไพรซ์คือ เดมอน ที่ไม่ค่อยได้เห็นเล่นหนังทำนองนี้เท่าไหร่แล้ว แม้จะไม่มีพื้นที่ให้ปล่อยของ แต่ตอนจบก็ดีจนต้องกราบอยู่ดี
ตอนนี้หนังเข้าฉายรอบพิเศษ 2 ทุ่มครับ ฉากจริงวีคหน้า ช่วงนี้อาจจะเห็นคำว่า “หนังแห่งปี” เยอะหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าผลงานคุณภาพเข้ามาชนกันเยอะจริงๆ Ford v Ferrari ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดถ้าเราจะใส่คำดังกล่าวเข้ามาในบทความ ใครที่ชื่นชอบหนังทำนอง Rush (2013) ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง อาจจะไม่มันส์เท่า แต่เชื่อเถอะว่าคุณต้องหลงรักมันแน่นอน (ส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากกว่า)
Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์ (dir. James Mangold) – 8.5/10
Ford V Ferrari (2019) – เล็ทส์โก วิ่งสู่ฝัน วันของเราDirector : James Mangold (Logan, Walk the Line)
Genre : Action, Biography, Drama
Spoil : Lv.0/5 (**กำลังจะ spoil)
เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่อยากดูมากๆของปีนี้เลย เพราะด้วยความที่มี Method Actor อย่าง Bale ร่วมแสดง มันทำให้ใจคือแบบอยากดูไป 80% แล้ว ละยิ่งรู้ว่า James Mangold โอ้โหหหหห เอาไป 100% ไปเลย!!
บท : บทดำเนินไปอย่างลื่นไหลและไม่น่าเบื่อ เราจะต้องมาคอยนั่งลุ้นจนตัวเกร็งไปหมดว่า จะผ่านมั้ย จะได้มั้ย จะรอดมั้ย จะตายมั้ย ยกให้ Mangold เลยที่รังสรรค์มันออกมาได้ลุ้นระทึกทุกวินาทีขนาดนี้ และทุกอย่างดูมีปมปัญหา ก็ไม่คิดว่ามันสร้างมาจากเรื่องจริงแต่มันจะเดือดได้ขนาดนี้
การแสดง : Christian Bale คือโคตรดี บอกเลยว่าเข้าชิงนำชายออสการ์ปีนี้ไม่ยากเลย เป็นตัวละครที่เหมือนไม่ได้แสดง นึกว่าคือตัวจริงๆมาเล่น ซีนอารมณ์ก็สุด ซีนเค้นความรู้สึกก็สุด เพราะตัวละคร เคน ไมล์ ค่อนข้างจะมีปมเรื่องการเข้าสังคมและที่สำคัญ มันมีหลายมิติมาก ส่วน Matt Demon ก็ดีในส่วนที่แมตทำได้ มาลุ้นอีกทีว่าจะไหวเข้าชิงสมทบชายมั้ย และส่วนนักแสดงสมทบที่เหลือก็เผ็จไม่ต่างกัน
ข้อสำคัญที่สุดเลยคือ ไดอะล็อคที่ส่งให้กันแม่งมันมากๆ
งานเสียง : หวดกันยับกับเสียงจากรถต่างๆ เสียงแน่นมากกกกกกก เสียงดนตรีประกอบก็ดี ดีไปหมดเลย!!!!
งานภาพ : การถ่ายดีมาก ไม่คิดว่าแค่การแข่งรถเฉยๆมันจะทำให้เราลุ้นได้ ก็ต้องยอมรับว่ามุมกล้องมันช่วยให้เราอินจริงๆ ทั้ง Handicam ที่ติดตรงประตูรถ มุมกล้องที่เห็นอากัปกิริยา ความรู้สึกของคนขับ เสมือนเค้าให้เราไปนั่งข้างๆตัวละคร
โปรดักชั่นและการแต่งกาย : มันสร้างมาจากเรื่องจริง แล้วสถานที่ถ่ายทำ และการแต่งกายก็ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
‼️‼️สรุป‼️เป็นหนังชีวประวัติที่อยากแนะนำให้ดูมากๆครับ มันสนุกและลุ้นมากๆ พอตัวละครทำอะไรสำเร็จนิดหน่อย น้ำตานี่แทบไหลเลย แค่ไปดูการแสดงก็โคตรคุ้มแล้วจีงงงงง!
💚ความชอบส่วนตัว 5/5
🎬ความเป็นหนัง 5/5
🌟หนังดาวรุ่ง 10/10
Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์
ในบรรดาหนังกระแสหลักในปี 2019 คงไม่มีเรื่องไหนที่ดึงดูดความน่าสนใจผมได้มากเท่ากับหนังแนวทาง Based on the true story ที่อิงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการดีไซต์รถแบรนด์ฟอร์ด เพื่อเอาชนะแบรนด์เฟอร์รารี่ในการแข่งขันรถสุดหฤโหดที่ต้องแข่งขันอย่างต่อเนื่อง 24ชั่วโมงเลอ มังส์
จุดเด่น
เจมส์ แมนโกลด์ ผู้กำกับเรื่องนี้ขึ้นชื่อลือชาในการผลิตหนังได้หลากหลายสไตล์ และการเล่าเรื่องที่อิงจากความเป็นจริงทำให้มันกลายเป็นหนังดราม่าที่โคตรมันได้อรรถรสมาก ปกติแล้วคนทั่วไปดูหนังไม่ค่อยอิงแนวทางแบบนี้ แต่ใน Ford & Ferrari ไม่ได้เป็นแบบนั้น
หนังเปิดหัวที่มาที่ไปของตัวละครหลัก คือ เคน ไมลส์ และ คารอล เชลบี ที่มาพบกันโดยความไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดประทับใจในฝีมือการขับรถของไมลส์ การดำเนินเรื่องก็เริ่มขึ้นจากตรงนั้น หนังไม่ได้เน้นเรื่องการช่วงชิงพื้นที่ในการแข่งรถเหมือนในชื่อเรื่อง แต่มันเป็นการปูความสัมพันธ์ของ ไมลส์ และ เชลบี ซึ่งตลอดทั้งเรื่องจนนำไปสู่การแข่งขันสนาม24ชั่วโมงเลอ มังส์ แน่นอนว่าเป้าหมายคือการล้มเฟอร์รารี่ เราจึงได้เห็นการทดลองที่ล้มลุกคลุกคลานที่ดูยังไงแล้ว คุณจะต้องชอบความดราม่าของหนังเรื่องนี้
ส่วนเทคนิคการถ่าย
ทำการออกแบบฉาก ยอมรับว่าทีมงานของ แมนโกลด์ เก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน ทั้งนักแสดง, โลเคชั่นการถ่ายทำ ตัวรถที่ใช้แข่งขันที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ทำให้ภาพที่ปรากฏสู่สายตาคนดู อารมณ์เหมือนอยู่ในยุคปี 1966
นักแสดง
ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีมากๆ ที่นักแสดงนำตัวชูโรงของเรื่องไม่ใช่ทอม ครูซ และ แบรด พิตต์ เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น ผมมองว่าโฉมหน้าของหนังคงไม่ได้เป็นแนวทางดราม่าที่สนุกเร้าใจไปด้วยการห่ำหั่นกันในสนามแข่งขันรถเพื่อช่วงชิงความเป็นเจ้าแห่งความเร็วแน่ๆ
ซึ่งการมี คริสเตียน เบล มาสวมบทเป็น เคน ไมลส์ บุคคลที่มีอยู่ในชีวิตจริง อดีตทหารผ่านศึกผู้หลงใหลและเชี่ยวชาญในด้านรถยนต์จนมาเปิดอู่ซ่อมรถ และกลายเป็นคนขับรถแบรนด์ฟอร์ด จนเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์วงการความเร็วไปตลอดกาล พี่แกสอบผ่านชั้นเชิงการแสดงหายห่วง หลายฉากในหนังได้เห็นภาพเบลที่ดูเท่ห์มีเสน่ห์โดยเฉพาะซีนที่อยู่หลังพวงมาลัย เขาตีสามารถเข้าถึงคาแรกเตอร์ได้แบบแนบเนียน
แมตต์ เดมอน อดีต กับบท คารอล เชลบี อดีตนักขับรถชื่อดังที่ต้องผันตัวเองมาเป็นคนออกแบบรถให้ฟอร์ดเพื่อนำไปแข่งในเลอ มังส์ บทนี้มีความสำคัญมากในการดำเนินเรื่อง เพราะต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่ไม่เข้าใจการแข่งขันรถ ใส่สูทผูกไท หวังผลประโยชน์ทางธุรกิจและภาพลักษณ์ มองแค่ว่าโยนเงินให้แล้วไปจัดการ ซึ่งคาแรกเตอร์ของแมตต์ ในเรื่องดูมีความฉลาดแสบสันมากๆ ตั้งต้นเรื่องจนจบ
จอช ลูคัส นี่คือนักแสดงที่เอาตรงๆ คือมนุษย์ที่สร้างความปั่นป่วนให้หนังเรื่องนี้ นอกจากกลุ่มฝั่งตรงข้ามอย่างเฟอร์รารี่ อารมณ์ประมาณว่าไม่มีประโยชน์ประจบนาย อยากมีหน้ามีตาในสังคมการแข่งขันรถ วางแผนที่จะดัดหลัง เคน ไมลส์ และคารอล เชลบี อยู่ตลอดเวลา ยอมรับว่าตัวละครที่เล่นของ ลูคัส นั้นช่วยดำเนินเรื่องได้ดี แม้ว่าผมจะไม่ชอบขี้หน้าก็เถอะนะ
จุดบอดของเรื่อง
ความพิถีพิถันในการถ่ายทอดเรื่องราวของตลอด 2 ชั่วโมงครึ่ง มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่มีจุดอ่อนหรือช่องโหว่ให้ต้องไปตำหนิติติง ในแง่ของประวัติศาสตร์ยานยนต์อิงจากความเป็นจริงได้สมบูรณ์แบบแล้ว แต่ผมรู้สึกติดขัดช่วงการจบของเรื่องราวเล็กน้อยแค่นั้น
สรุป
Ford V Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์ นี่คือหนังดราม่าที่ดูแล้วโคตรบันเทิง การเก็บรายละเอียดที่หมดจดอิงจากความเป็นจริงทำให้หนังสมจริง ผสมผสานกับการฟาดฟันบทของนักแสดงที่ดูอร่อยเหาะ ไม่มีความน่าเบื่อจนอยากเดินหนีเลยแม้แต่น้อย
แจกรีวิว 9.5/10
ดูหนังออนไลน์ แคร์โรลล์ เชลบี นักออกแบบรถยนต์ชาวอเมริกันและเคน ไมล์ส นักขับต้องต่อสู้กับการแทรกแซงของบริษัทและกฎฟิสิกส์เพื่อสร้างรถแข่งปฏิวัติวงการให้กับฟอร์ด เพื่อเอาชนะเฟอร์รารี่ในการแข่งขัน 24 Hours of Le Mans ในปี 1966
The Legend of Speed (1999) เร็วทะลุนรก
FAST X (2023) เร็ว…แรง ทะลุนรก 10
Fast & Furious: Hobbs & Shaw (2019) เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์