เรื่องย่อ : Fast & Furious: Hobbs & Shaw (2019) เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์ ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
7.5 /10 ให้กับ Fast & Furious: Hobbs & Shaw (2019) เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์
เร็ว แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์ (2019)
” โคตรมันส์ เดือดทะลุจอ สะใจคอหนังแอ็คชั่น”
มันส์มากกกจริงๆ แอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญสะใจเว่อร์ เมื่อคู่ปรับอย่าง Hobbs & Shaw ต้องมาทำภารกิจกู้โลกร่วมกันจัดการกับองค์กรลับที่มีเทคโนโลยีตัดต่อพันธุกรรมจนทำให้ตัวร้ายกลายเป็นยอดมนุษย์
ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นคู่ปรับกัน ก็มีความจิกกัด อวยโม้ตัวเอง งัดมุกตลกหน้าตายใส่กันไม่ยั้ง นางเอกก็สวยมีเสน่ห์ เคมีของตัวละครเข้ากันได้ดีทีเดียว และยังแทรกความสัมพันธ์ของครอบครัวอีกด้วย ทำให้หนังสนุก ดูเพลิน แต่ด้วยความเป็นหนังแอ็คชั่น ก็อย่าไปหาเหตุผลอะไรมากมาย หนังขายความบันเทิงล้วนๆ ขายความมันส์ เดือดทะลุจอ บ้าบอเว่อร์วัง 🔥
มี 2 End credit น้าา อย่าเพิ่งรีบลุก!! ไประเบิดความมันส์กันวันนี้ในโรงภาพยนตร์ค่าา 🎞️
หนังแยกของจัดวาล fast and furious ที่เอาตัวละครที่เด่นพอๆกับดอม เลยมาทำเป็นหนังแยกออกมาเลย
ส่วนตัวเราชอบนักแสดงชุดนี้มากๆ ทั้งเคมีของตัวละครที่ส่งต่อกันได้ดีมากๆทำให้ตัวละครดูไม่ผืดกันเวลาเล่น และตัวละครใหม่ที่เพิ่มมา เพิ่มมาแบบไม่ยัดเลยนะ ค่อนข้างโอเคเลย จังหวะเข้ามาดีมากๆ (เสียดายที่ไม่ได้พูดถึงตัวละครจากหนังในจักรวาลนี้เลย) แล้วก็มีตัวละครรับเชิญที่ฮามากๆ อยู่ ชอบมากๆ
ตัวเนื้อเรื่องรู้สึกว่ายังอ่อนอยู่ ดูแล้วมันก็ได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวาอะไรมาก ไม่รู้สึกว้าว หรือ ตื่นเต้น ฉาก action ก็ ตามสไตล์fast อยู่ละ เน้นเรื่องรถ ส่วนใหญ่ ชอบมุมกล้องที่ทำออกมาได้ดี และเพลงประกอบ ที่โครตจะมันส์
แต่กว่าตอนดูเรื่องนี้ไม้รู้ทำไม ดูไปง่วงนอนไป หรือเราไม่ตื่นเต้นกับหนังพวกนี้แล้ว ไม่ก็อาจจะเหนื่อย ก็เลยหักหน่อย
สรุปให้ 7.5 ครับผม 👍🏻
ขอพื้นที่ให้คนไม่ชอบหนังบ้างเนอะ เดี๋ยวจะมีคนมาด่าอีกว่าไม่ชอบแล้วจะดูทำไม คือหลังจากดูภาค 7 ก็ไม่คิดจะดูแฟรนไชส์นี้ต่อละ พูดง่าย ๆ ว่าลาขาด แต่อดไม่ได้จริง ๆ กับภาคนี้ที่ได้ผู้กำกับสายสตั๊นท์อย่าง เดวิด ลีตช์ ที่เคยทำ Atomic Blonde และอยู่เบื้องหลังงานสตั๊นท์หนังแอ็คชั่นหลายเรื่อง นักแสดงนำทั้ง เจสัน สเตแธม และ ไอดริส เอลบา ก็เป็นสองคนที่เราชอบ โดยเฉพาะคนหลังนี่เชียร์ให้เป็นบอนด์ 007 มาตลอด ดังนั้นเลยขอลองเสี่ยงไปดูสักหน่อย อย่างน้อยขอลุ้นกับงานสตั๊นท์ว่ามันอาจจะดี นี่คือความคิดก่อนดูนะ
ส่วนหลังดู ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้ต่อต้านหนังขี้โม้นะ จริง ๆ ชอบหนัง dumb action หรือพวกแอ็คชั่นไร้สาระหลายเรื่องด้วย แต่คิดว่า Hobbs & Shaw ใช้งานผู้กำกับผิดคนอย่างแรง ถ้าจะมาแนวทางวินาศสันตะโรขี้โม้ฉิบหายวายป่วงก็ควรหาผู้กำกับสไตล์จัดจ้านชัดเจนกว่านี้ สามารถเสกฉากขี้โม้เป็นงานสตั๊นท์โชว์ได้สร้างสรรค์กว่านี้ (อันที่จริงฉากในตัวอย่างคือดีสุดละ ที่ขับรถสปอร์ตลอดใต้ท้องรถบรรทุก โม้ระเบิดระเบ้อดี) แต่คงว่าอะไรไม่ได้เพราะรายได้ของแฟรนไชส์ Fast & Furious เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าแนวทางแบบหนังไมเคิล เบย์ มันประสบความสำเร็จ อันที่จริงประสบความสำเร็จกว่าด้วยซ้ำ ชอบที่มีคนวิจารณ์ความแตกต่างว่า Fast & Furious ต้องการให้คุณคิดว่าหนังมันไร้สาระ(แล้วมันก็ไปในแนวทางนั้น) ส่วนหนังของไมเคิล เบย์ ต้องการให้คนดูรู้ว่ามันช่างไร้สาระที่เสียเวลามาดูอะไรแบบนี้
อีกอย่างคือ ฮ็อบส์ & ชอว์ ในหนังมันดูเป็นคู่กัดปลอมมากกว่าจะกัดกันจริง ฟังค์ชั่นสองคนนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากสรรหาคำมาด่าแบบไร้ชั้นเชิงซึ่งมันไม่ได้ตลกในเชิงจิกกัดหรือฟังแล้วเจ็บปวดอะไรกับการจี้ปมด้อย (เจสัน สเตแธม คาแรคเตอร์แบบเดคการ์ด ชอว์ มันจะทำให้หนังมีสีสันมุกตลกได้คือต้องได้คู่ขาที่รับส่งลงตัวกว่านี้ นี่ดูโรงใหญ่ก็ค่อนข้างเงียบกัน) การสร้างฉากโอ้อวดความสามารถข่มกันก็ไม่ได้ชวนสนุกขนาดนั้น อย่างหนึ่งคือสองคนนี้มันดูเป็นยอดมนุษย์แบบไม่มีใครปราบได้ มันไม่มีความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ชวนเอาใจช่วยหรือเห็นใจในความเจ็บปวดตาม นึกสภาพแบบทอม ครูซ ใน Mission: Impossible ที่แม้จะเก่งกาจขนาดไหนก็ยังมีมุมที่สาหัส เพลี่ยงพล้ำ แต่กับสองคนนี้คือตกตึกสูงแล้วลุกขึ้นมาเดินได้ปกติก็ไม่รู้จะไปแคร์ทำไมกับพวกฉากเตะต่อยหรือฉากต่าง ๆ นานาที่ทำขึ้นมาแบบไม่สนใจหลักฟิสิกส์อะไรทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามแกนหลักนอกเหนือจากเส้นเรื่องแย่งของชิงตัว ‘แฮตตี้’ (Vanessa Kirby ที่มาแรงจากทั้งบทเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต ใน The Crown กับบทใน MI: Fallout) ยังมีเส้นดราม่าครอบครัวที่เชื่อว่าคนผูกพันกับแฟรนไชส์นี้น่าจะอินกัน มันเล่นเรื่องง่าย ๆ แค่การทรยศเพราะเชื่อในสิ่งที่ทำว่าถูกต้อง กับเรื่องสายสัมพันธ์แตกหักเพราะหลงเชื่อคำลวงที่น่าเชื่อถือ พอมีฉากคืนดีกันง่าย ๆ ก็ทำให้คนแฮปปี้ได้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวละครเหนือมนุษย์ดูเป็นมนุษย์ที่สุดแล้วด้วย
เอาเข้าจริงยังคิดว่าหนังเว่อร์น้อยกว่าที่คิดนะ (แต่บางคนก็บอกว่าเว่อร์จนต้องเข้าจักรวาลมาร์เวลแล้ว) ส่วนที่ตลกนิดหน่อยคือฉากตอนท้ายที่สตอรี่บอร์ดดูสับสนเวลามาก จากฟ้ามืดเป็นฟ้าสว่างต่อเนื่องไปถึงฝนตกฟ้าครึ้มได้ใน 6 นาที ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ
ป.ล. หนังมีฉาก mid credits นะ
ป.ล. 2 สงสารไอดริส เอลบา ที่มาเล่นหนังเรื่องนี้ ขนาดเป็นถึงขั้น Black Superman ยังมีสภาพไม่ต่างจากกระสอบทรายให้คนธรรมดาแบบ ฮ็อบส์ & ชอว์ ไล่อัดเป็นว่าเล่น
Director: David Leitch (ผู้กำกับ Atomic Blonde, Deadpool 2)
Genre: action, adventure
6/10
REVIEW : Fast & Furious: Hobbs & Shaw (2019) เร็ว…แรงทะลุนรก ฮ็อบส์ & ชอว์
สำหรับแฟนๆของหนังตระกูลนี้ คงไม่ต้องแนะนำอะไรมากแล้ว สำหรับภาค Hobbs & Shaw ซึ่งถือว่าเป็นภาคแยกเรื่องแรก หลังจากหนังในแฟรนไชส์นี้ ถูกสร้างมามากถึง 8 ภาค (และกำลังจะมีภาคที่ 9 เข้าฉายซัมเมอร์ปีหน้า) ซึ่งภาคแยกนี้เกิดขึ้น ปัจจัยหลักมาจากเคมีระหว่างตัวละคร ลุค ฮอบบส์ (รับบทโดย ดเวย์น จอห์นสัน) และเด็คการ์ด ชอว์ (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) ที่กัดกันมันส์ระดับถึงพริกถึงขิงในหนังสองภาคที่ผ่านมา นั่นคือ Fast & Furious 7-8 ทำให้สตูดิโอตัดสินใจ จับสองตัวละครนี้แยกออกมาสร้างหนังของพวกเขาเสียเลย แถมดเวย์จ จอห์นสัน จะได้ไม่ต้องไปร่วมจอกับ วิน ดีเซล อีกแล้ว หลังมีข่าวว่าสองคนนี้เริ่มไม่ถูกกัน โอกาสที่จะกลับมาเจอกันในหนังจึงเป็นเรื่องยาก
สำหรับในภาคนี้ ฮอบบส์ และชอว์ ถูกซีไอเอเรียกตัวมาร่วมงานกันในภารกิจเฉพาะกิจ เพื่อตามล่าหาน้องสาวของ เด็คการ์ด ชอว์ หลังมีรายงานว่าเธอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ MI6 (สายลับของอังกฤษ) เกิดทรยศองค์กร และขโมยเอาไวรัสสุดอันตรายไป ถ้าไวรัสนี้ถูกแพร่กระจาย จะเป็นผลร้ายของประชากรนับพันล้านคนทั่วโลก ซึ่งในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องแข่งกับ บริตันซ์ (รับบทโดย ไอดริส เอลบ้า) อดีตสายลับที่ปัจจุบันกลายเป็นสมาชิกคนสำคัญขององค์กรลับ ที่พัฒนาให้มนุษย์มีพละกำลังเหนือคนทั่วไป (เขาเรียกตัวเองว่า ซูเปอร์แมนคนดำ) ทำให้เขากลายเป็นคู่ต่อกรของ ฮอบบส์และชอว์ ที่อันตรายเสียเหลือเกิน
หัวใจหลักของหนังตระกูล Fast & Furious มีอยู่ไม่กี่ข้อ หนังในแฟรนไชส์นี้ มักจะประกอบด้วย ฉากขับรถไล่ล่ากันแบบลุ้นสุดชีวิต, ฉากแอ็กชั่นที่นับวันจะยิ่งเว่อร์ขึ้นเรื่อยๆ, พล็อตที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ซึ่งน่าประทับใจและซาบซึ้ง และที่สำคัญ ต้องมีตัวละครนำที่ไม่ค่อยมีเส้นผมบนหัว ซึ่งหนังเรื่องนี้ มาครบถ้วน พร้อมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ ที่น่าจะทำให้ Hobbs & Shaw เป็นที่ชื่นชอบได้ไม่ยากนัก หลังจากดูภาคนี้จบก็พบว่า มันเป็นทุกอย่างแบบที่แฟนๆคาดหวัง คนดูหวังว่าจะได้ดูอะไรในหนังเรื่องนี้ จัดให้แบบไม่ผิดหวัง ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนนั้น ยกให้ภาคนี้ เป็น Fast & Furious ภาคที่สนุกและลงตัวที่สุด เป็นรองเพียง Fast Five เพียงภาคเดียวเท่านั้น
ในแง่ของฉากแอ็กชัน ตามที่แฟนๆกล่าวถึง Fast & Furious เลยว่า ยิ่งสร้างยิ่งเว่อร์ ภาคนี้ก็เช่นกัน มาพร้อมกับฉากบู๊ที่ไม่แคร์กฏทางวิทยาศาสตร์ใดๆทั้งนั้น เน้นเกินจริงและเอามันส์เป็นหลัก หนังยังคงมาพร้อมกับฉากขับรถไล่ล่า ที่ดุเดือดหลายซีน ทั้งฉากในลอนดอน (ที่หลายคนน่าจะเห็นในตัวอย่างแล้ว) รวมถึงฉากในช่วงท้าย ที่ทำได้สนุก ระทึกอย่างน่าพอใจ แต่พอหนังได้นักแสดงเป็น ดเวย์น จอห์นสัน และ เจสัน สเตแธม มารับบทนำแล้ว คงน่าเสียดายที่จะไม่มีฉากบู๊แบบปะทะกัน ใช้ศิลปะป้องกันตัวต่างๆ ซึ่งหนังก็จัดให้ในระดับที่เต็มอิ่มเลยทีเดียว
ในแง่ของพล็อต แน่นอนว่า Fast & Furious ภาคนี้มาพร้อมกับพล็อตที่ไม่ซับซ้อน ดูง่าย และยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นครอบครัว หลังจากภาคหลัก หนังเทน้ำหนักให้กับครอบครัวโทเรตโต้ (ตัวละครของ วิน ดีเซล) แต่ในภาคนี้ หนังขยายพื้นที่ มาสำรวจครอบครัว ฮ็อบบส์ และครอบครัว ชอว์ มากขึ้น ซึ่งทั้งชวนประทับใจและอมยิ้มได้หลายซีนเลยทีเดียว โดยเฉพาะครอบครัวชอว์ ที่ค่อยๆขยายและเพิ่มตัวละครมากขึ้น แต่ละตัวก็มีเสน่ห์มากๆ มากพอที่จะสร้างภาคแยกของบ้านนี้ได้เลย
องค์ประกอบที่ค่อนข้างต่างจาก Fast & Furious ภาคก่อนๆ ที่ชัดเจนที่สุดคือ มุมตลก ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของภาคนี้เลย แม้ฉากแอ็กชันจะเครียด แต่หนังก็ผ่อนอารมณ์ด้วยบทสนทนาตลกร้ายมากมาย โดยเฉพาะซีนแขวะกันของ ฮอบบส์และชอว์ ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของหนัง ซีนเหล่านี้สนุกมาก ด่ากันแบบเอาเป็นเอาตาย มีความเป็นผู้ชายปากร้ายทั้งคู่ ซึ่งองค์ประกอบแบบนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นักในหนังแอ็กชัน การที่ตัวละครหลักจะด่ากันแบบเอาเป็นเอาตาย ในภาคนี้ขยายมาแบบเต็มๆ สะใจแฟนๆมาก
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่เด็ดมาก คือ ความเซอร์ไพรสในหนัง ภาคนี้มาพร้อมกับตัวละครลับ ซึ่งจะไม่ขอขยายความเพิ่มในที่นี้ แต่ทำเอาแฟนๆ น่าจะตื่นเต้นพอสมควร โดยเฉพาะคนที่ติดตามหนังมาเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าผู้สร้างมีแผนจะขยายจักรวาล Fast & Furious ให้ใหญ่โตมากขึ้น ในอนาคตถ้าวางแผนดีๆ สามารถแข่งความอลังการกับจักรวาลมาร์เวลได้เหมือนกัน
สรุปแล้ว Fast & Furious : Hobbs & Shaw ถือว่าเป็นหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ที่ดูสนุกมาก จัดฉากแอ็กชัน จัดความเว่อร์ จัดความฮา ให้กับแฟนๆแบบชุดใหญ่ หวังว่าจะได้เจออะไร ได้เจอแน่แบบเต็มๆ แถมด้วย ความเซอร์ไพรสสุดใหญ่ ที่สร้างสีสันและต่อยอดให้กับจักรวาลความเร็วนี้ได้อย่างดี ซึ่งกลิ่นอาย ความพยายามที่จะขยายจักรวาลนั้น ตอกย้ำด้วยฉากแถม ที่หนังเรื่องนี้มีฉากแถมให้ดูกันท้ายเครดิตแบบเดียวกับมาร์เวลเลย เพราะฉะนั้น เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย 135 นาทีของหนังเรื่องนี้ ควรนั่งดูจนจบซีนสุดท้าย
(ให้ 8.5 คะแนนเต็ม 10)
HOBBS & SHAW (2019) อุปสรรคในฐานะหนังภาคแยก
___________________________________________
อยากบอกว่าเราชอบ The Fate of the Furious (2017) มาก (ภาคก่อนหน้าก็เอนจอยเช่นกัน ทั้งตอนเป็นหนังแข่งรถ และตอนเป็นหนังแอคชั่นเหนือมนุษย์) แต่ต้องบอกตามตรงว่าเราไม่ค่อยเอนจอยกับ Hobbs & Shaw เท่าไหร่ ทั้งที่มันเป็นไปตามความคาดหวังเราจริงๆนั่นคือ “เวอร์ขึ้น เพี้ยนขึ้น
และมีแนวโน้มเสียสติกว่าเดิม” (ไม่เอนจอยในที่นี้ไม่ได้แปลว่าน่าเบื่อหรอกนะ มันก็ไปเรื่อยๆได้ของมันนั่นแหละ แต่ถ้าหากมองไปยัง Fast & Furious ภาคหลังๆ ค่อนข้างห่างชั้นความบันเทิงพอสมควร) – ถ้าย้อนกลับไป 3-4 ปีก่อน บอกว่าจักรวาล Fast & Furious จะไปอวกาศคงเป็นเรื่องเพ้อเจ้อสิ้นดี แต่ตอนนี้เห็นชัดๆว่าอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว (เหมือนกับเมื่อก่อนที่คงไม่มีใครคิดว่าเกม Call of Duty ภาคหลังๆมันจะถล่มยานอวกาศกันเป็น Star Wars)
พล็อตมันทะลุโลกมาก (ซึ่งดูเหมือนไม่มี option อื่นแล้วจริงๆ – เคยเขียนไว้ตอนรีวิว The Fate of the Furious ว่าจักรวาลนี้มีอุปสรรคอย่างหนึ่งคือคนทำต้องทำลายขอบเขตความเป็นจริงของภาคก่อนให้ได้ ง่ายๆคือแข่งกันโม้ 555) เราอาจรู้สึกมาตลอดว่าพวกนี้เป็นเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่
แต่ภาคนี้มันมีคนเป็น super soldier ของจริงครับ (ต่อยเหนือคน ยิงไม่เข้า มีม่านตาสแกนความสามารถ ฯลฯ) คือมาทางนี้แล้ว ยังไงก็ต้องมี Fast & Furious – Infinity War อะครับ ต้องมีธานอสแห่งการซิ่ง วายร้ายที่เหนือมนุษย์ของไอ้พวกเหนือมนุษย์อีกที ซึ่งคิดไปคิดมาก็น่าสนุก(มากๆ)แต่อย่างที่บอก มันค่อนข้างยากที่จะทำลายข้อจำกัดได้ไปเรื่อยๆ เพราะส่วนตัวก็รู้สึกว่า Hobbs & Shaw ไม่ได้ไปไกลจาก The Fate of the Furious นัก (ในขณะที่ภาคนั้นค่อนข้างเป็นคนละเรื่องกับ Furious 7 อย่างชัดเจน)
ส่วนตัวคิดว่าคู่ เดอะร็อค กับ เจสัน สเตแธม มันสนุกเพราะพวกเขาไม่ใช่ตัวหลักในหนัง (ที่ผ่านๆมา) การออกมาขิง ออกมาสรรหาคำด่ากัน เลยมีฟังก์ชั่น “ขโมยซีน” ในเรื่องแบบเล็กๆน้อยๆน่ารักกำลังดี (ใน The Fate of the Furious ทั้งสองได้ซีนกันเต็มๆ เป็นทั้งคู่จิ้นแห่งจักรวาล และเป็นตัวซัพพอร์ตเรื่องให้มีสีสันมากโข) แต่พอพวกเขาแท็กทีมกันเป็นภาคแยกมันให้ผลลัพธ์ในอีกแบบหนึ่ง – การด่ากัน โชว์พาวกันทั้งเรื่อง (ในรูปแบบสถานการณ์เดิมๆ) มันไม่ทำงานกับเราเหมือนตอนดูเขาในภาคก่อนๆ (และอีกส่วนต้องยอมรับว่าทีม วิน ดีเซล เดิมมันมีเสน่ห์จริงๆในแง่ของเคมี พอไร้กายพวกนั้นก็เลยต้องพึ่งพากันเอง) ยังไม่นับรวมการที่ทั้งสองตัวละครไม่มีมิติอะไรเพิ่มเติมเลยแม้จะเป็นหนังเดี่ยวของตัวเอง สิ่งที่ได้มาคือ family trees ที่ใหญ่ขึ้น ได้รู้ว่าไอ้นี่มีน้อง ไอ้นี่มีครอบครัว ได้รู้เหตุการณ์ที่ผ่านๆมา (เพื่อทำให้ทั้งคู่กลายเป็นตัวละครหลักแบบเต็มตัว **และแน่นอนว่าเป็นคนดี) ตอนดู Hobbs & Shaw เลยรู้สึกเหมือนกำลังชมซีนคุกในภาค 8 ที่ถูกขยายให้ยาว 135 นาที
หนังพูดถึงวิวัฒนาการ การเป็นมนุษย์ที่เหนือกว่า แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจไปกว่านั้นเท่าไหร่ ที่น่าสนใจคือทิศทางต่อไปของจักรวาลมากกว่า ที่ผ่านมาเราจะรู้สึกว่าชีวิต Fast & Furious มันชิลกันดีนะ มา One Last Ride กันสิบรอบแล้วก็แยกย้ายไปใช้ชีวิต แต่พอเงื่อนไขมันเพิ่มการกอบกู้โลกเข้ามาก็ดูเป็นมิติที่น่าสนใจขึ้น (ซึ่งหนังก็พย๊ายามพยายามจะทำให้มันเป็น family issue ให้ได้อะนะ ซึ่งมันเล่ายากมากๆเพราะเรื่องมันไปไกลกว่าแค่ครอบครัวแล้ว มันพูดถึงความเป็นมนุษย์กันแล้วเนี่ย! 555)
ดูภาคนี้แล้วกึ่งหนึ่งรู้สึกเหมือนไม่ได้ดูหนังแต่กำลังดูโชว์กายกรรมเสี่ยงตายที่กำลังล้อเล่นกับกฎเกณฑ์ฟิสิกส์จนเกิดเป็นฟอร์มายากลขึ้นมา คือในแง่หนึ่งมันถ่ายออกมาเหมือนการแสดงโชว์มากๆ แต่ไอ้เหี้ยสถานการณ์ที่มึงอยู่ร่วมมันไม่ใช่แล้ว (อาทิ เดอะร็อค กระทำความ สตีฟ โรเจอร์) ไม่แปลกใจหากใครจะนึกถึงบรรยากาศแบบ Mad Max ในซีเควนซ์หนึ่ง ซึ่งเราว่ามันคราฟต์ออกมาดีนะ หนังมันไม่สามารถทิ้งเรื่องรถ เรื่องซิ่งได้เลย หนังก็เลยเอาไปคราฟต์กับฉากเหนือมนุษย์ให้มีฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้น เพราะแบบนี้เลยอยากเห็นพวกนี้ขับเครื่องบินซัดกันบนอากาศ ไม่ก็ทะลุอวกาศไปต่อยกันแบบ zero g ไปเลย (เชื่อว่าจะมีวันนั้น 555)
เอาจริงๆนอกจาก John Wick (2014) เราดูหนัง David Leitch ไม่ค่อยเอนจอยสักเรื่องเลย เราว่าเขาเป็นคนที่ดีไซน์ฉากแอคชั่นดี แต่พอมาผนวกกับการเล่าเรื่องแล้วดึงเราไม่ค่อยอยู่เท่าไหร่ กระนั้น มันก็เป็นงานบันเทิงที่ไม่ได้ย่ำแย่อะไร แน่นอนว่าเคมีสองตัวละครนี้ทำให้เราสนุกสุดๆ(ในช่วงแรก) และพล็อตบ้าๆบอๆทำให้เราขำก๊ากได้พอสมควร แต่อาจจะเพราะที่ผ่านมา Fast & Furious ท็อปฟอร์มมากๆในการขี้โม้และสถานการณ์เกินจริงที่ล้นจนสนุก การมาของภาคแยกนี้ที่ทำไม่ได้เท่าที่ผ่านมาก็เลยอาจจะรู้สึกแห้งๆอยู่บ้าง ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แค่คิดว่าน่าจะลืมในเร็ววันนี้แน่นอน
อนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น Vanessa Kirby สุดยอดมากๆครับ
___________________________________________
Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (dir. David Leitch) – 7/10
เดวิด ลิทซ์
ดูหนังออนไลน์ Fast & Furious: Hobbs & Shaw (ชื่ออื่น Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw) เรื่องราวนับตั้งแต่ที่ ฮ็อบส์ (ดเวย์น จอห์นสัน) เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเจ้าของร่างล่ำบึ้ก ผู้จงรักภักดีต่อองค์กรหน่วยรักษาความปลอดภัยทางการทูตแห่งอเมริกา และชอว์ (เจสัน สเตทแธม) ชายนอกกฎหมาย อดีตเจ้าหน้าที่ทหารชั้นสูงของอังกฤษ ได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกใน Furious 7 ในปี 2015
ทั้งคู่ก็ได้ปะทะกันทั้งด้วยคารมและหมัดด้วยความมุ่งหมายที่จะโค่นอีกฝ่ายให้ได้ แต่เมื่อ บริกซ์ตัน (ไอดริส เอลบา) ผู้ชื่นชอบในลัทธิอนาธิปไตย และได้รับการปรับแต่งทางพันธุกรรมให้มีความสามารถสูงขึ้น ได้มีอำนาจควบคุมภัยคุกคามร้ายกาจทางชีวะที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษยชาติไปตลอดกาล และมีชัยเหนือเจ้าหน้าที่เอ็มไอซิกส์ผู้ชาญฉลาดและปราศจากความกลัว (วาเนสซ่า เคอร์บี้) ผู้บังเอิญเป็นน้องสาวของชอว์ ศัตรูคู่อาฆาตทั้งสองคนนี้จึงจำเป็นต้องจับมือกันเพื่อโค่นล้มคนเพียงคนเดียวที่อาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
Hobbs & Shaw เป็นการกระแทกเปิดประตูใหม่สู่จักรวาล Fast เมื่อแอ็กชันของมันพุ่งทะยานไปทั่วโลก จากลอสแองเจลิสสู่ลอนดอน และจากเมืองร้างที่เต็มไปด้วยสารพิษอย่างเชอร์โนบิลสู่ความงามที่เขียวชอุ่มของซามัว
FAST X (2023) เร็ว…แรง ทะลุนรก 10
Fast And Furious 8 (2017) เร็ว…แรงทะลุนรก 8