ดูหนังออนไลน์ เต็มเรื่อง หนังใหม่อัพเดททุกวัน ฟรี HD ชัด

ดูหนังออนไลน์ moviehd24 หนังใหม่HD ดูหนังเต็มเรื่อง2024 ซีรี่ย์ออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี

google search

Dont Look Up (2021)

ปีที่ฉาย : 2021
เสียง : พากย์ไทย
Episode : -
imdb 7.5
ความคมชัด : HD
Dont Look Up (2021)

ดูหนังออนไลน์ Dont Look Up (2021)

เรื่องย่อ : Dont Look Up (2021) ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD

Dont Look Up (2021)

เรื่องย่อ Dont Look Up (2021)

นักดาราศาสตร์โนเนมอย่าง ดร.แรนดัล มินดี้ (ลีโอนาร์โด ดิคาพรีโอ) และ เคต ดิบิแอสกี้ (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) นักศึกษาปริญญาเอกของเขาได้ค้นพบดาวเคราะห์น้อยแต่ไม่น้อยตามชื่อเพราะมันมีขนาดใหญ่มากกว่า 9 กิโลเมตร กำลังจะพุ่งชนโลกในอีกหกเดือนข้างหน้า ซึ่งขนาดของมันทำลายล้างโลกได้เลยนั่นสร้างความตื่นตระหนกให้กับแรนดัลและเคตเป็นอย่างมาก ทั้งสองเดินทางไปพบดร.เท็ดดี้ โอเกิลธอร์ป และเข้าพบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเพื่อบอกหายนะโลกครั้งนี้ แต่ประธานาธิบดีกลับให้รอดูสถานการณ์ไปก่อนเพราะเธอกำลังยุ่งอยู่กับการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งสามจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับนักข่าว ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับทำเป็นเรื่องตลกและมีคนไม่เชื่อ

ผู้กำกับ

Adam McKay

บริษัท ค่ายหนัง

  • Hyperobject Industries
  • Bluegrass Films

นักแสดง

  • Leonardo DiCaprio
  • Jennifer Lawrence
  • Rob Morgan
  • Jonah Hill
  • Mark Rylance
  • Tyler Perry
  • Timothée Chalamet
  • Ron Perlman
  • Ariana Grande
  • Scott Mescudi
  • Cate Blanchett
  • Meryl Streep

โปสเตอร์หนัง Dont Look Up (2021)

Don't Look Up (2021) - IMDb

Don't Look Up (2021) - IMDb

Don't Look Up" | เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Netflix

รีวิวหนัง Dont Look Up (2021)

Techhangout

[CR] รีวิว Don’t Look Up เมื่อ ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด + ฝีมือนักแสดงเทพ !

Netflix ก็ยังคงมีหนังให้เราดูได้เรื่อยๆ แม้จะมีน่าเบื่อบ้าง ไม่ลงตัวบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นค่าย Streaming Service ที่ทำหนังออกมาได้เรื่อยๆให้เราดูได้แบบไม่น่าเบื่อ และมีอะไรใหม่ๆให้ดูได้ตลอดเวลา และในเรื่อง Don’t Look Up เองนั้นเป็นหนังที่ผมรอมานานมากๆ เพราะว่าด้วย ชื่อของ ผกก และ นักแสดงที่ต้องบอกว่าเกรด AAA ทั้งหมด ยิ่งได้ Leonardo DiCaprio , Jennifer Lawrence , Cate Blanchett และ Meryl Streep บอกเลยว่าไม่ธรรมดาแน่นอน ด้วยฝีมือแบบนี้หนังออกมาสนุกแน่ๆ และได้ ผกก Adam Mckay มาร่วมด้วยที่กำกับหนัง The Big Short บอกเลยว่า ไม่ควรพลาดไปดูนักแสดงก็ไม่เสียเวลาแล้ว และเรื่องนำเสนอได้ดีมาก เกี่ยวกับการเมือง การที่เรามีผู้นำแบบโง่ๆตัดสินใจอะไรแบบไม่ได้คิด และ การเมืองแบบแบ่งพรรคพวก สื่อทื่อวยรัฐบาลตัวเอง หรือการเอาเปรียบประชาชน การปิดข่าว ต่างๆมันมาครบมากๆ เหมือนกับเรื่องราวที่ เราเจอกันในเรื่องจริงในหลายๆที่เลยทีเดียวแต่เอามาเล่าแบบ จิกกัด ตลกร้ายนิดๆในเรื่องนี้ทำให้มันมีความน่าสนใจและเล่าเรื่องได้ดีด้วย

เนื้อหาแน่นอนว่า ตอนแรกคิดว่าจะทำได้ลึกหรือสุดกว่านี้นะแต่เท่าที่ดูเหมือนทาง ผกก เองจะยั้งๆมือหรือไม่กล้าสุดกว่านี้เลยทำให้มันอาจจะไม่ได้ แซะ จิกกัดแรงอะไรมาก มาแบบเบาๆพอสนุกสนานและผสมกับความเรียลนิดๆในบางช่วง แต่บางทีก็มีตลกเข้ามาเสริมทำให้มันเป็นหนังตลกร้ายจิกกัดมากกว่า จะเน้นทางจริงจัง แบบที่เราเคยเห็นโทนหนังแบบ The Big Short พวกนั้นครับ แต่ก็ถือว่าทำได้ดูเพลิน และสนุกแม้จะไม่ลึกแต่ก็ดีกว่าหลายๆเรื่องของ Netflix เลยทีเดียว และ เล่าเรื่องแบบเส้นตรงเรียบๆ ตามลำดับแต่ตัดต่อได้สนุก จังหวะหนังดีอันนี้ทำให้เราดูได้เพลินๆ และ บทเองก็ส่งทั้งนักแสดงทุกคน ทำให้ทุกคนเอาอยู่และไม่มีใครแบกหนังเพราะทำได้ดีทุกคนที่ออกมาบนจอ

นักแสดง Leonardo DiCaprio , Jennifer Lawrence , Cate Blanchett และ Meryl Streep รวมถึง Rob Morgan , Jonah Hill และ อีกมากมายนั้น ทำได้ดีมากๆ และ ทาง ลีโอ และ เจน ลอร์ บอกเลยว่ายังคงฝีมือ การสื่ออารมณ์ได้ดี และ ยังได้ Meryl มาร่วมแจมก็แสดงได้เข้าถึงตัวละครมากๆ แม้ช่วง End Credit อาจจะไม่ค่อยเห็นเล่นแนวๆนี้เท่าไรก็ตาม แต่ไม่ควรพลาด ทั้ง 2 ตัวเลย หลังหนังจบ รวมถึงในหลายๆฉากที่ต้องแสดงผ่านทางหน้าตา หรือ แววตา เหล่านักแสดงสลับกันแสดง มาร่วมฉากได้ดีครับถือว่าภาพรวมนั้นไม่มีที่ติเลยแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีก็เสียดายว่าในหลายๆอย่างน่าจะจิกกัดให้สุด และนักแสดงก็น่าจะทำได้สุดกว่านี้ถ้าบทเค้าส่งกว่านี้นั้นเองครับซึ่งภาพรวมถ้าถามว่าในเรื่องนี้สิ่งที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็น ชุดทีมนักแสดงทั้งหลักและย่อยหรือประกอบที่โผล่มาทำได้ดี

งานภาพแน่นอนว่าไม่ได้เน้นมุมภาพสวยงามอะไรแต่ขอชม CG ในบางฉากว่าสวยเนียนมากๆในฉากปล่อยยานต่างๆรวมถึงในอวกาศทั้งหลาย ส่วนเพลงประกอบอะไรธรรมดาครับไม่ได้เน้นหรือเด่นเป็นที่จดจำซักเท่าไรในเรื่องนี้

ภาพรวมเป็นหนังที่เราน่าจะดูแล้วเข้าถึงในหลายๆอย่าง เข้าใจทั้งการเมืองที่พยายามจะสื่อสาร ถ้าผู้นำที่โง่ไม่คิดอะไร ตัดสินใจไม่เป็น ทำอะไรเน้นพวกพ้อง เข้าข้างกันเอง ปิดข่าว อวยกันเองพวกนี้ พาประเทศชาติล่มจม คนตายกันได้แน่นอนครับ ซึ่งส่งผลถึงทั่วโลก รวมถึงในหนังเองยังคงเล่ามุมมองทั้ง 2 ฝ่าย มีทั้งฝ่ายสนันสนุน และ ฝ่ายที่ไม่สนับสนุน ทำให้มันสนุกและเห็นถึงอะไรหลายๆอย่างที่หนังพยายามจะสื่อ การแซะการเมือง เทรนด์ในโลกตอนนี้ ความคิดของคนสมัยนี้ หรือแม้แต่ การให้ความสนใจข่าวบันเทิงมากกว่า ข่าวที่กระทบกับชีวิตของตัวเองอีกมากมายบอกเลยว่าไม่ควรพลาดครับ มันอาจจะไม่ได้ดีลึกที่สุด แต่ก็สามารถเข้าใจอะไรหลายๆอย่างและดูสนุกไปได้ในตัว

By N I N E Z T R

สมาชิกหมายเลข 2470599

[รีวิวหนัง] Don’t Look Up: จิกกัดและเสียดสีให้ดูแย่ แต่ในความเป็นจริงก็แย่พอกัน

นี่เป็นภาพยนตร์ที่เสียงแตกมากที่สุดในบรรดาภาพยนตร์ที่เข้าชิง Best Picture ในปีนี้ (Rotten Tomatoes 55% หมายความว่านักวิจารณ์เกือบครึ่งไม่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้) แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลของการที่จะเลือกไม่ดูภาพยนตร์ที่คับคั่งไปด้วยเหล่านักแสดงรางวัลออสกร์ อาทิ Leonardo DiCaprio, Jennifer Lawrence Cate Blanchett Meryl Streep และอีกมากมาย

Don’t Look Up สร้างจากเรื่องราวที่ “อาจจะเกิดขึ้นจริง” (Based on Truly Possible Events) เมื่อ Kate Dibiasky (รับบทโดย Jennifer Lawrence) สาวนักศึกษาปริญญาเอกสาขาดาราศาสตร์มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้บังเอิญตรวจพบดาวหางที่มีขนาดกว่า 10 กิโลเมตร และกำลังจะพุ่งเข้าชนโลกในอีก 6 เดือนข้างหน้า เธอจึงปรึกษากับ Dr. Randall Mindy (รับบทโดย Leonardo DiCaprio) อาจารย์หัวหน้าคณะของเธอ ถึงการรับมือกับภัยพิบัติที่ร้ายแรงถึงขนาดกวาดล้างมนุษยชาติจนสูญพันธุ์ได้ ทั้งคู่จึงต้องร่วมมือกับ Dr. Teddy Oglethorpe (รับบทโดย Rob Morgan) หัวหน้าสำนักงานประสานงานพิทักษ์โลก ในการหาทางรับมือกับภัยพิบัตินี้ร่วมด้วย Orlean ประธานาธิบดีหญิงของสหรัฐอเมริกา (รับบทโดย Meryl Streep) เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้รอดพ้นจากวิกฤติใหญ่ครั้งนี้

อ่านจากเรื่องย่อหลายคนคงนึกว่าหนังเรื่องนี้จะต้องมีการปฏิบัติภารกิจกอบกู้โลกเหมือนใน Armageddon (1998) ที่เชิดชูฮีโร่และความเสียสละอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยความที่นี่เป็นงานของผู้กำกับ Adam McKay ผู้ซึ่งถนัดในงานแนวจิกกัดเสียดสีสังคม ทั้งการจิกกัดวงการการเงินตอนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ใน The Big Short (2015) หรือการเล่าเรื่องของ Dick Cheney ผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริงที่ชักใยเบื้องหลัง George W. Bush ในภาพยนตร์เรื่อง Vice (2018) จึงไม่น่าแปลกใจถ้าเกิด Don’t Look Up จะมีท่าทีของการเสียดสีผู้คน วงการสื่อ และรัฐบาลอเมริกันอย่างเจ็บแสบตลอดทั้งเรื่อง (หรืออาจจะโดนรัฐบาลประเทศอื่นด้วย)

ในเรื่องจะเห็นว่าหนังพยายามจะเสียดสีทั้งประเด็นเล็กๆ ตั้งแต่เรื่องราวของบุคคล ทั้งการมีชื่อเสียงแล้วทะนงตัวขึ้นของ ดร.แรนดัล การที่มหาลัยไม่ดังคนก็ไม่เชื่อถือ การยัดเงินเพื่อเข้ารับตำแหน่ง จนไปถึงประเด็นใหญ่ๆ อย่างคนในสังคมที่เพิกเฉยต่อคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์และมักมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ วงการสื่อที่มุ่งเน้นแต่จะขายข่าวดราม่า ข่าวบันเทิง เพื่อเรียกเรตติ้งและการทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อคนทั้งโลกจากการตัดสินใจของคนแค่กลุ่มเดียว (แถมด้วยการอุ้มคนเห็นต่างด้วยการจับขึ้นรถแล้วคลุมหัว เอ๊ะ คุ้นๆ)

ด้วยการจิกกัดอย่างตรงไปตรงมานี้เอง ทำให้ตัวละครใน Don’t Look Up นั้นมีแต่ความวายป่วงและแบนราบไร้มิติอย่างสิ้นเชิง (อาจเป็นเหตุผลที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่ชอบ) ทั้งประธานาธิบดีหญิงออลีน ที่วันๆสนใจอยู่แต่การกู้ภาพลักษณ์จากข่าวฉาว แม้โลกจะแตกก็ไม่สำคัญเท่าคะแนนเสียงของเธอ หรือนักธุรกิจที่สนใจแต่ผลทางกำไรของธุรกิจจนยอมแลกได้แม้กระทั่งความเป็นความตายของคนทั้งโลก นักข่าวสาวที่ทำให้ข่าวดาวหางกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ซึ่งจะว่าไปลักษณะนี้ก็คล้ายกับผู้นำเผด็จการหลงตัวเองจอมเฟอะฟะใน The Dictator (2012) (ซึ่งคะแนนจากนักวิจารณ์ก็ไม่ต่างกัน) แต่หากเราเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อสารออกมา ซึ่งน่าจะรับรู้แล้วตั้งแต่คำโปรยที่อยู่บนโปสเตอร์ว่า ‘Based on Truly Possible Events’ มันก็คือการประชดนั่นแหละ

แต่กระนั้นสารที่ถูกซ่อนไว้อีกชั้นหนึ่งของ Don’t Look Up คือการรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ทั้งการใช้ดาวหางแทนสัญลักษณ์ของความภัยพิบัติ และตัวละครต่างๆก็เป็นภาพจำลองของบุคคลจริงๆ เช่นเมื่อเราลองมองไปที่ตัวละคร เคท ของ Jennifer Lawrence ดีๆ จะพบว่า ตัวละครนี้เป็นเหมือนภาพจำลองของสาวน้อยนามว่า เกรต้า เทนเบิร์ก (Greta Thunberg) นักรณรงค์ด้านสภาพแวดล้อมชาวสวีเดน โดยการกระทำที่เคทได้รับในเรื่องนั้นเหมือนกับที่เกรต้าได้รับไม่มีผิดเพื้ยน ทั้งการถูกนำรูปไปตัดต่อล้อเลียน การที่ถูกอดีตประธานาธิบดีอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหาว่าเป็นพวกคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เช่นกัน รวมถึงการพูดจาขวานฝ่าซากตรงไปตรงมาก็เป็นอีกหนึ่งบุคลิกของเกรต้าด้วย

หรือตัวละครประธานาธิปดีหญิงออลีนก็เป็นการถอดแบบมาจากโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เขาออกมาบอกว่าาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องโกหกก็ตรงกับในเรื่องที่ออลีนแทบไม่สนใจเรื่องดาวหางเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตัวละครนักธุรกิจอิเชอร์เวลก็มีส่วนผสมของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอย่าง โจ ไบเดน แทบจะเหมือนกันในลักษณะการพูดและท่าทาง(ฉากแอบดมผมผู้หญิงในเรื่องก็ตรงกับพฤติกรรมของไบเดนด้วย) ผสมกับนักธรุกิจอย่างอีลอน มัสก์ และ ความเป็นเจ้าเทคโนโลยีแบบ สตีฟ จ็อบส์ อย่างละนิดละหน่อย

และตัวละคร ดร.แรนดัล ของ Leonardo ก็แทบจะไม่ต้องบอกว่าเป็นภาพจำลองของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ออกมาพูดปากจนจะฉีกถึงหูแล้วว่า โลกเรากำลังเผชิญกับสภาวะโลกร้อน และควรช่วยกันยับยั้งไม่ให้มันเลวร้ายลงไปกว่านี้ แต่ก็เหมือนกับในเรื่องนั้นแหละ ฉากที่ ดร.แรนดัลระเบิดอารมณ์ในรายการข่าว แม้ว่าเขาจะพูดด้วยท่าทีจริงจังแค่ไหน มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย (และตัวลีโอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอยู่แล้วด้วย)

(นี่บทพูดของ ดร.แรนดัล ในรายการข่าวและเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้พูดต่อหน้าสาธารณะชน)
“มีดาวหางดวงใหญ่มุ่งมายังโลก และเหตุผลที่เรารู้ว่ามีดาวหาง เพราะว่าเราเห็น เราเห็นมันด้วยตาของเราเอง ด้วยการใช้กล้องส่องทางไกล”
“คือว่าให้ตายเถอะ ยิ้มถ่ายภาพมันเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ จะเอาหลักฐานอะไรอีก!”

“และถ้าเราเห็นตรงกันเรื่องพื้นฐานสุดๆอย่างเรื่องดาวหางดาวยักษ์ขนาดเท่าเทือกเขาเอเวอเรสต์ กำลังมุ่งหน้าตรงมายังโลก ยิ้มโคตรไม่ใช่เรื่องดี”

“เราน่าจะเปลี่ยนวิถีดาวหางนี้ ตอนที่เรายังมีโอกาสทำได้ แต่เราไม่ทำ ผมไม่รู้ทำไมเราไม่ทำ”

“ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายิ้มกำลังโกหกอยู่!!!”

“ผมหวังอย่างยิ่งว่า ประธานาธิบดีคนนี้จะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ผมหวังว่าเขาจะดูแลเราทุกคน แต่ความเป็นจริงคือ ผมคิดว่าไอ้รัฐบาลนี้ ยิ้มเสียสติกันไปหมดแล้วโว้ย!!! และผมคิดว่าพวกเราจะตายห่ากันหมด!!!!!!!!!!!!!!!!”
(ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็นเรื่องสภาวะโลกร้อนแทนดู)
.
อีกทั้งความหมายของ Don’t Look Up ยังเปรียบเสมือนการกวาดขยะซ่อนเอาไว้ใต้พรม หรือการไม่ให้ความสำคัญของสิ่งหนึ่งแต่หันไปสนใจอีกสิ่งแทน (เหมือนวงการบันเทิงบ้านเรากรณีน้าเน็กกับทิดไพรวัลย์ที่กลบกระแสคดีของหมอกระต่ายซะเกลี้ยงเลย)

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่หนังใส่เข้ามา ทั้งเรื่องพวกอนุรักษ์นิยม เรื่องศาสนา ฯลฯ ถ้าจะให้พูดก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าใครที่ยิ่งเห็นจุดที่หนังแทรกเอาไว้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสนุกและคิดตามไปด้วยมากเท่านั้น เป็นอีกหนึ่งความบันเทิงที่ขึ้นอยู่กับบุคคลจริงๆ (แม้จะหนักไปทางสังคมตะวันตกไปสักหน่อย)

ในด้านการเล่าเรื่องแน่นอนว่านี่คือหนังที่สนุกที่สุดในบรรดาหนังที่เข้าชิง Best Picture บนเวทีออสการ์ในครั้งนี้ เพราะมันดำเนินตามขนบหนังทั่วๆไป ไม่ต้องมานั่งหาวเพราะความเชื้องช้าเพราะแช่ภาพนานๆ เหมือนที่หนังรางวัลเรื่องอื่นๆ ชอบทำกัน พล็อตเรื่องก็ตรงๆเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีลังกาดูหลายตลบก็เข้าใจสิ่งที่หนังจะสื่อได้ (ไม่มีคำถามตอนจบเรื่องทำนองว่า เอ๊ะ เมื่อกี้ฉันดูอะไรไป(วะ))
.
ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือ เมื่อ ดร.แรนดัลระเบิดลงกลางรายการไปแล้ว จากนั้นดีกรีความจิกกัดจะลดลงแทบเป็นศูนย์ เหมือนเป็นการบอกใบ้กลายๆว่า “ฉันได้พูดสิ่งที่อยากจะพูดไปแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกัน”

เรื่องนักแสดงคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณใดๆ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น แม้ว่าตัวละครหลายๆตัวมันจะแบนราบไร้มิติ แต่พวกเขาก็แสดงออกมาได้อย่างที่มันควรจะเป็น (ส่วนตัวหมั่นไส้ Meryl Streep ที่สุด) ส่วนเรื่องโปรดักชั่นและงานCGI ถือว่ามีคุณภาพอยู่ในระดับเยี่ยม ทั้งฉากปล่อยกระสวยอวกาศ ฉากดาวหางบนท้องฟ้า ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงกับตัวหนังได้มากทีเดียว

สรุป Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์ที่เสียดสีและจิกกัดสภาพสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน แล้วยังเป็นนักรณรงค์ที่ไม่ได้ทำท่าทีแบบว่า “พวกเรามาช่วยกันปกป้องโลกนี้เถอะ” แต่เป็น “รีบทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะตายห่ากันหมด” มากกว่า เพื่อให้เราฉุกคิดว่าเหตุการณ์ในหนังมันควรจะเป็นแค่ “เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นจริง” หรือมันอาจจะกำลังเกิดขึ้นจริงในโลกแห่งความเป็นจริงก็ได้

Don’t Look Up เข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 94 ประจำปี 2022 ทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม

happening mag

REVIEW: Don’t Look Up
.
“การที่โลกทั้งใบโดนทำลาย ไม่ควรจะเป็นเรื่องตลก”
— Don’t Look Up ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ อดัม แม็คเคย์ (Adam McKay) สื่อสารประเด็นนี้กับผู้ชมโดยหยิบเอาปัญหาซีเรียสๆ อย่างเรื่องสิ่งแวดล้อมโลกมาทำให้กลายเป็นหนังตลก!

ความร้ายกาจของภาพยนตร์ตลกร้ายที่กำลังมาแรงที่สุดใน Netflix เรื่องนี้เกิดจาก อดัม แม็คเคย์ ผู้กำกับและคนเขียนบทได้ค้นพบ ‘ความจริง’ ที่ว่า ปัญหาบางอย่างที่ซีเรียสและสำคัญมากๆ กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ ไม่ว่าข้อมูลต่างๆ จะเป็นวิทยาศาสตร์ขนาดไหน หรือข้อมูลจะถูกนำเสนอกันตรงๆ จะๆ เพียงใด ชาวโลกก็ยังเพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าว เสมือนหนึ่งว่าปัญหานั้นไม่เคยมีอยู่จริง หรือแม้จะมีอยู่จริง ฉัน-ก็-ไม่-เชื่อ หรือไม่อยากเงยหน้าขึ้นมองดูหรือรับรู้ความจริงอะไรทั้งนั้น และที่ตลกกว่านั้นก็คือ บางกลุ่มคน (โดยเฉพาะสื่อมวลชน) ยังชอบทำให้ข่าวที่เรียกร้องสติในการรับรู้สูง ออกมา ‘เบา’ และ ‘บันเทิง’ ทั้งที่บางเรื่องมันจำเป็นต้องหนัก ซีเรียส และไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเล่นสนุกกัน!

Don’t Look Up เล่าเรื่องราวความหายนะของชาวโลกในหลากหลายมิติ ผ่านความตึงเครียดของนักดาราศาสตร์ 2 คน ดร.มินดี้ (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ออสการ์ ปี 2016) และ เคท (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ออสการ์ ปี 2013) ที่บังเอิญค้นพบว่าโลกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่หลวงในระดับทำลายล้างมวลมนุษยชาติ เพราะภายในระยะเวลา 6 เดือนกว่าๆ ข้างหน้าจะมีดาวหางขนาดมหึมาพุ่งเข้าชนโลก และมนุษย์ทุกคนจะต้องตาย!

ทั้งคู่พยายามอธิบายความจริงอันแสนเจ็บปวดนี้กับท่านประธานาธิบดี เพื่อเร่งหาทางแก้ไขหรืออย่างน้อยก็ตั้งรับได้ทัน (ประธานาธิบดีรับบทโดย เมอรีล สตรีป ออสการ์อีกคน! หลายปีด้วย!) แต่แล้วสถานการณ์กลับพลิกผันรุนแรง ทั้งคู่กลับต้องเจอวิกฤตปัญหาที่หนักหนายิ่งกว่า นั่นก็คือคนในระดับผู้นำไม่ได้สนใจปัญหานี้มากไปกว่าคะแนนนิยมหรือผลประโยชน์ของตัวเอง! ทั้งๆ ที่ ดร.มินดี้ มีความพยายามในการนำเสนอข้อมูลแบบวิทยาศาสตร์ ตรงไปตรงมา ไม่ยึดโยงกับมิติการเมืองใดๆ

และไม่ใช่แค่คนในระดับ #ผู้นำประเทศ เท่านั้น สองนักดาราศาสตร์ยังต้องช็อกกับปฏิกิริยาตอบสนองของทั้ง #สื่อมวลชน #คนทางบ้าน #นักธุรกิจ #วงการบันเทิง และ #ชาวเน็ต ที่เห็นเรื่องนี้เป็นอื่นไป อาจเพราะอัลกอริทึ่มในหน้าจอที่เราก้มหน้าก้มตาไถกันอยู่ทุกชั่วโมงหรืออะไรบางอย่าง ทำให้ชาวโลกยังคงเพิกเฉยต่อปัญหาซึ่งหน้า บ้างสนุกกับการนำมาผูกโยงกับประเด็นทางการเมือง จนปัญหาที่น่าจะได้รับการแก้ไขแบบเรียบง่ายกลายเป็นเรื่องแบ่งฝ่ายจนแก้ไขได้ยุ่งยาก (หรือไม่ต้องพูดเรื่องแก้กันหรอก แค่คุยเรื่องเดียวกันให้สำเร็จก็ยากแล้ว) บ้างสร้างมีมเรียกยอดไลก์และกระแสนิยม นักร้องขายเพลงฮิต คนทำหนังขายหนังแบบโหนกระแส สื่อยังคงขายข่าวแบบไม่สนโลก รู้ว่าโพสต์แบบไหนเข้าทางมหาชนก็เขียนโพสต์แบบนั้น คนจะเกลียดชังหรือฆ่ากันก็ปล่อยผ่าน พ่อค้ายังคงทำธุรกิจแบบหวังรวยเละ และชาวเน็ตที่ชอบหัวเราะก็ยังคงเดินหน้าหัวเราะเยาะปัญหาที่ทับถมตัวเองเป็นกองเท่าภูเขาน้ำแข็ง เป็นภูเขาน้ำแข็งที่ดูเหมือนจะไม่ยอมละลายตามสภาพอากาศโลก

ทั้งๆ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่มีจุดร่วมเดียวกันอย่างชัดเจน แต่มนุษย์กลับเป็นเผ่าพันธุ์ที่ตลกเกินไป ความแตกต่างแบ่งแยกบวกกับความโง่เขลาและเห็นแก่ตัวทำให้เราโฟกัสปัญหาเดียวกันได้ไม่ชัด ไปจนถึงเข้าขั้นมองไม่เห็นทางออกอะไรเลย เพราะทำไปทำมาก็ขัดขากันเองในที่สุด

ว่ากันโดยทางการแบบไม่เอาประสบการณ์ส่วนตัวมาครอบ Don’t Look Up

เป็นหนังสะท้อนปัญหาในสังคมอเมริกัน (ใครจะบอกว่าประเทศอื่นก็แล้วแต่ แต่ในหนังมันชัดเจนว่าอเมริกาน่ะ) กล่าวกันอย่างวิทยาศาสตร์และในเชิงข้อมูล ตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็ตรงกับตัวละครในสังคมอเมริกันยุคนี้สุดๆ ใครอยากดูว่าตรงแค่ไหน แนะนำให้ดู Mockumentary เรื่อง Death to 2021 สารคดีปลอมที่เล่าสรุปข่าวจริงๆ รอบโลกใน Netflix ดู หลายฉากคุณจะได้เห็นตัวละครคล้ายในเรื่อง Don’t Look Up ไปปรากฏตัวอยู่ เหมือนได้ดูบางซีนของหนังเรื่องนี้ฉายซ้ำในอีกเวอร์ชั่นที่แสดงโดยบุคคลในโลกจริง (มีเรื่อง Death to 2020 ด้วยนะ เป็นสรุปข่าวของปี 2020 หากดูก่อนได้ก็จะดีจะได้เห็นภาพปัญหาต่อเนื่อง)

และด้วยความที่เป็นการสะท้อนปัญหาสังคมในอเมริกา แน่นอนสิ มันก็คือการสะท้อนปัญหาสังคมโลกไปด้วย อย่างที่เรารู้กันดีว่า อเมริกามีทัศนะว่าตัวเองก็คือโลก และในเมื่อประเทศที่เป็นผู้นำเช่นนี้เจอปัญหาหนักอย่างนี้ ประเทศอื่นๆ ที่หลงเดินในแนวทางเดียวกันก็คงไม่เหลือ

ความขัดแย้งรุนแรงในแต่ละประเทศหนักข้อขึ้นทุกวัน และชาวโลกยังคงยุ่งกับอะไรบางอย่างตลอดเวลา เวลาที่จะแก้ปัญหาที่สำคัญจริงๆ มันเลยหายไปไหนหมดก็ไม่รู้

โดยคำศัพท์แล้ว คำว่า ‘Look Up’ แปลว่า ‘ค้นหาข้อมูล’ ไม่ว่าจะจากในหนังสือหรือฐานข้อมูล และยังมีความหมายว่า ‘ดีขึ้น’ ในแง่ของสถานการณ์ด้วย โดยหน้าหนัง เราเห็นภาพโปรโมตที่นักแสดงทุกคน ‘เงยหน้า’ เป็นรูปธรรมตามชื่อหนัง แต่โดยนัย หนังอาจกำลังบอกเล่าว่าชาวโลกและผู้นำโลกไม่ได้ค้นหาข้อมูลหรือไม่ได้สนใจหาทางออกอะไรแบบซีเรียสๆ สักที และอะไรๆ ก็ไม่ดีขึ้นเลย แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 75 ปี นับจากข้อมูลในปี 1947 ที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เริ่มจดและสังเกตเห็นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลก หรืออย่างน้อยก็ผ่านมาประมาณ 15 ปีแล้ว ที่สาธารณชนได้ดู An Inconvenient Truth (ปี 2006) ภาพยนตร์สารคดีให้ความรู้เกี่ยวกับ ‘ภาวะโลกร้อน’

ปัญหาที่ว่าโลกทั้งใบจะโดนทำลายอย่างแน่นอน ชนิดที่ข้อมูลเป็นวิทยาศาสตร์ 100% และสำคัญระดับความเป็นไปของมวลมนุษยโลก (‘โลก’ เลย ปัญหานี้ใหญ่กว่าแค่ระดับชาติ) ปัญหาระดับนี้ดูใหญ่โต แต่ก็ดูจะยังไม่ใหญ่พอที่จะเอาชนะแอร์ไทม์ของประเด็นไร้สาระรายวัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวชีวิตส่วนตัวของนักการเมืองที่ทำตัวทุเรศทุรัง กอสสิปดนดัง ความสนุกในการสร้างมีมสลับกรี๊ดหลัวของชาวเน็ต ฯลฯ หนังเล่าแบบแสบๆ ว่า ชาวโลกน่ะไม่สนใจเรื่องที่สำคัญจริงๆ หรอกนะ เรายุ่งมากเพราะมัวแต่สนใจ #อะไรก็ไม่รู้ กันอยู่ และที่เราเป็นแบบนี้เพราะ #ไม่มีทางเลือก เราเอาแต่รอให้อัลกอรึทึ่มหรืออะไรก็ไม่รู้เลือกตอนจบของชีวิตให้ ทั้งๆ ที่แค่เงยหน้าขึ้นเลือกทำอะไรสักอย่างที่มันถูกก็พอแล้ว

#อำนาจ ทั้งในระดับการเมืองการปกครอง และในระดับที่ล่อให้คนผูกติดตัวเองกับกระแสนิยมทำให้ใครต่อใครหลงทิศ ชนิดที่ว่าต่อให้เป็นนักดาราศาสตร์เนิร์ดๆ อย่าง ดร.มินดี้ ก็ยังเป๋

หลายสิ่งที่เรามีอยู่แล้วถูกมองไม่เห็นค่า ไม่ว่ามนุษย์จะมีอะไรอยู่แล้วมากสักแค่ไหน ก็ดูเหมือนมันจะไม่เคยพอ และแทนที่โซเชียลมีเดียจะช่วยหลอมรวมโลกเป็นหนึ่งเดียว มันกลับให้ผลเป็นรูปธรรมในทางตรงกันข้าม ตรรกะของโลกถูกหมุนกลับตาลปัตร รอวันให้ดาวหางพุ่งมาชนก็เท่านั้น

คงไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะได้ ‘มองเห็น’ ความจริงแท้ ได้รับการให้อภัย หรือให้อภัยใครสักคนในวันสุดท้ายของชีวิต บางคนไม่มีโอกาสขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ที่ยังเสาะแสวงหาหนทางในการเอาเปรียบคนอื่นๆ อยู่โดยไม่รู้จักหยุดหย่อน

และสำหรับคนที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว ฉันคิดว่าถ้าได้นั่งทบทวนสักนิดอาจพบว่าหนังเรื่องนี้มันแสบ แสบที่มันหลอกล่อให้เราหัวเราะเยาะปัญหาของตัวเองหน้าตาเฉย แถมหลายคนยังอดไม่ได้ ต้องโพสต์บอกคนในเน็ตว่า “หนังแสบ รีบดู” พอดูจบก็ไม่ต้องหาข้อมูลอะไรทั้งนั้น รีบเขียนรีวิวเรียกไลก์เถอะ! แน่นอนว่า จากพล็อตหนัง คนในระดับปกครองและข้าราชการต้องถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ​ เพราะตัวขับเคลื่อนหลักในเรื่องเป็นถึงประธานาธิบดีเชียว ผู้นำที่ซีเรียสแต่เรื่องเอาตัวรอดจะไม่พาให้ประชาชนไปถึงไหนหรอก แต่ก็นั่นล่ะ เราต้องไม่ลืมว่า หนังก็ไม่ได้พูดแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว มันมีหลายคน หลายเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า อะไรกันแน่ที่สำคัญกับชีวิตจริงๆ และอะไรกันแน่ที่เราควรใช้เวลาชีวิตไปเพื่อแลกมันมา?

สำหรับการแคสตัวแสดง ฉันขอชื่นชมที่เป็น ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ นะ ไม่ใช่เพราะแค่ฝีไม้ลายมือในการแสดงแบบทุ่มสุดตัวเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมตัวเป้งด้วย ประสบการณ์ในงานด้านนี้ทำให้เขามีอินเนอร์และสื่อสารมันออกมาได้ดีเป็นพิเศษ ดิคาปริโอทั้งเคยทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อาทิ ‘11Th Hour’ ใน ปี 2007, ‘Virunga’ ในปี 2014 และก่อตั้งมูลนิธิที่ระดมทุนเพื่อทำงานช่วยโลกในหลายรูปแบบ เขาทำเช่นนี้มานานแล้ว (จะไม่โทษคุณหรอก ถ้าคุณไม่เคยรู้เลย เพราะอัลกอริทึ่มอาจไม่พาคุณไปถึงข่าวคราวด้านนั้น แล้วข่าวก็ไม่ติดเทรนด์ด้วย) Don’t Look Up ถือว่าเป็นหนังรวมดาวที่สื่อสารเรื่องดาวหางและดาวโลกในเชิงเปรียบเปรยได้ดี ซึ่งฉันเองชอบวิธีคัดสรรนักแสดงของหนังเรื่องนี้มาก มันไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาเป็นดาวดัง แต่เป็นเพราะประเด็นสำคัญประมาณนี้ ใช้นักแสดงฝีมือระดับนี้ นับว่าใหญ่โตเหมาะสม

ผู้กำกับอย่าง อดัม แม็คเคย์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้อย่างชัดเจนใน space.com และหลายสื่อในต่างประเทศว่า เขาตั้งใจทำหนังเรื่องนี้โดยมีแก่นแท้เป็นเรื่องวิกฤตสภาพอากาศ แต่ก็ไม่วายที่จะออกตัวในทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า เพียงแค่ดูหนังจบก็คงไม่พอที่จะแก้ปัญหาได้ ถ้าขาดการตระหนักรู้ ความตั้งใจจริง และการลงมือทำ* —จุดนี้ฉันเห็นด้วยมากๆ เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่เจ๋งพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การปฏิบัติจริง (Call to Action) อะไรมากนัก แย่กว่านั้นคือ ผู้ชมชาวไทยจำนวนไม่น้อยไม่รู้เลยว่าหนังกำลังเสียดสีเราในประเด็นสิ่งแวดล้อมอยู่ เรามองเห็นและพูดถึงหนังเฉพาะในส่วนที่เราอยากมอง และมอง ‘ไม่เห็น’ ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมตรงหน้าทั้งที่หนังกำลังบอก ซึ่งฉันเองก็พยายามวิเคราะห์อย่างเป็นธรรมว่าทำไมคนดูบางส่วนถึงไม่เห็นประเด็นนี้ แล้วก็พบว่า เป็นไปได้มากที่ตัวหนังมีความกระจัดกระจาย ใส่หลายอย่างเข้ามามากเกินไปจนอาจทำให้ขาดจุดโฟกัส แถมความตลกและจำนวนนักแสดงดังยังมาแย่งซีนและมา ‘บัง’ ความจริงไว้อีก เรียกได้ว่ารูปแบบของหนังมันดันมาตลกร้ายหายนะกับแก่นแท้ของตัวหนังเอง คนดูก็เลยหลุด และยังก้มหน้าก้มตาทำพฤติกรรมกรรมเดิมๆ ซึ่งจุดนี้หนังก็ถูกวิจารณ์พอสมควรในต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ในฐานะของหนังตลก ก็ต้องยอมรับว่า Don’t Look Up เป็นหนังตลกที่ซีเรียสมากๆ เรื่องหนึ่ง และบทก็มีรายละเอียดความหมายยิบย่อย โดยเฉพาะไดอะล็อกบนโต๊ะอาหารในตอนท้ายเรื่อง ที่ดิคาปริโอใส่ประโยคสุดท้ายของ ดร. มินดี้ เข้าไปเองโดยไม่มีในสคริปต์ เป็นประโยคที่ทำให้เคทและแม็คเคย์ต้องหลั่งน้ำตา และทำให้หนังเกิดอิมแพ็กมากกว่าการชนของดาวหางซะอีก (และก็นั่นล่ะ แม็คเคย์ขายข่าวโปรโมตประโยคนี้ได้หลายหน้าเลย ใครไม่ทันประโยคนี้ ลองกลับไปดูอีกรอบได้)

เมื่อเทียบกับ Death to 2021 แล้วแม้เรื่องหลังก็เป็นหนังตลกเสียดสีและไม่ใช่หนังดีเลิศ (โดยส่วนตัวฉันรู้สึกว่าออกจะหยาบๆ และฝืดๆ) แต่ก็ดูจะทำให้เกิดแรงกระแทกในเชิงการตระหนักรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมได้มากกว่า เพราะในหนังบรรจุภาพข่าวจริงๆ ไว้เยอะ มีภาพทะเลเพลิงในเม็กซิโกที่อยากให้ลองเปิดดูกัน ภาพจริงไม่จกตาจ้ะ เป็นภาพที่ชวนให้นึกถึงวันสิ้นโลกเป็นอย่างสูง และทั้งๆ ที่ Death to 2021 ไม่ได้เคลมว่าตัวเองเป็นหนังสิ่งแวดล้อมอะไรเลย ก็ยังมีภาพรวมของข่าวสารสิ่งแวดล้อมโลกที่ชวนให้เราได้เงยหน้ารับรู้ความเป็นไปในโลกมากขึ้น (แต่ก็นั่นเอง หนังทั้ง 2 เรื่องไม่ตลกสำหรับฉันทั้งคู่ ดูแล้วออกแนวหดหู่และขำไม่ออกมากกว่า อาจเพราะตัวเองไม่ถนัดดูหนังแนวเสียดสีสักเท่าไหร่)

ไม่แน่ใจเลยว่าคนอื่นๆ ดู Don’t Look Up แล้วรู้สึกอะไรกับหนังบ้าง และรู้สึกอะไรกับตัวเองบ้างไหม ต่อปัญหาหนักและใหญ่อะไรก็ตามในโลกนี้ หนังได้ช่วยจูงใจให้เราก้าวเท้าเข้าไปในฟากฝั่งของคนที่ ‘พยายาม’ จะแก้ปัญหานั้นต่อไปไหม? หรือมันเป็นเพียงหนังที่ดูแล้วแค่ได้เสียงฮาและความสะใจแล้วก็จบ? ถ้าเป็นอย่างหลังก็คงต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้เข้าขั้นล้มเหลว และนับเป็นการใช้งบประมาณและเวลาชีวิตไปอย่างสิ้นเปลือง

สำหรับฉันแล้ว ตอนดูหนังจบใหม่ๆ รู้สึกหมดแรงเล็กๆ หดหู่หน่อยๆ แต่พอตั้งหลักได้ก็พบว่า มันก็เป็นเรื่องท้าทายดีเหมือนกันที่ต้องฮึด ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วใช้ชีวิตแบบเข้าใจความสำคัญของสิ่งต่างๆ จริงๆ อย่าไปหวังพึ่งหนังให้มาอินสไปร์หรือพึ่งอะไรนอกตัวมากเกินไป โดยเฉพาะในอนาคตข้างหน้าที่ไม่มีใครรู้ เงยหน้าแล้วเดินต่อ มองปัญหาให้ชัด แล้วแก้ไขไปในทุกๆ วัน

และเพื่อให้สมกับเป็นรีวิวหนังสิ่งแวดล้อม ถ้าใครไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี ลองคลิกดูข้อมูลหรือสนับสนุนการทำงานของคนเหล่านี้ดูนะ แรงเหวี่ยงเล็กๆ จากปลายนิ้วของเราอาจช่วยโลกได้บ้าง:

Global Green
World Wildlife Fund
Re:wild
Greta Thunberg
Greenpeace Thailand
WWF-Thailand
CHULA Zero Waste
GEPP
Won
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
มูลนิธิโลกสีเขียว
ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป
รักษ์กันคนละนิด a little bit caring
.
“พวกเราอาจจะหยุดดาวหางไม่ได้ แต่พวกเราสามารถหยุดปัญหาวิกฤตสภาพอากาศได้” — ดร.มินดี้ในหนังไม่ได้กล่าว แต่ดิคาปริโอในโลกจริงกล่าวไว้** และฉันหวังให้ชาวโลกผู้น่ารักและตระหนักรู้ทุกคน เงยหน้าขึ้นมองปัญหาอย่างจริงจัง จริงใจ และกล่าวเช่นเดียวกัน

ดูหนังออนไลน์ ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

The Midnight Sky (2020) สัญญาณสงัด

Project Almanac (2015) กล้า ซ่าส์ ท้าเวลา

The Martian (2015) กู้ตาย 140 ล้านไมล์

Deep Impact (1998) วันสิ้นโลก ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย

Greenland (2020) นาทีระทึก..วันสิ้นโลก

แสดงความคิดเห็น

ดูหนังออนไลน์ ดูซีรี่ย์ฟรี เรื่องอื่นๆ

ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่2024 moviehd24 ดูหนังเต็มเรื่อง หนังHD ดูหนังฟรีไม่กระตุก