แม้ว่าในแง่กระแสและรายรับของเฟรนไชส์ Fast and Furious จะค่อนข้างดีมากเป็นส่วนใหญ่ แต่ใช่ว่าหนังทุกเรื่องจะเป็นที่โปรดปรานของเหล่านักวิจารณ์ ดังนั้นเรามาย้อนดูกันว่าตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี
ที่ผ่านมา หนังฟาสต์ทั้ง 11 เรื่องที่ปล่อยออกมานั้น มีเรื่องไหนที่โดนใจคณะกรรมการ และเรื่องไหนโดนทับถมจากเหล่านักวิจารณ์ปากร้ายกันบ้าง
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 55%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 74%
รายได้ทั่วโลก : 206 ล้านเหรียญ
⭐ ให้ 10/10 คะแนน The Fast and the Furious (2001) เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ดีจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ ฉันชอบหนังเรื่องนี้มาก เป็นหนังเรื่องที่ฉันชอบเป็นอันดับสามในซีรีส์นี้ ฉันไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับรถยนต์หรือการแข่งรถบนท้องถนน ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับการโจรกรรม เนื่องจากการปล้นรถบรรทุกอิเล็กทรอนิกส์ความเร็วสูงเกิดขึ้นมากมายในพื้นที่ ทีมขโมยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่มูลค่า 1.2 ล้านดอลลาร์ และตำรวจไม่มีเบาะแสคนใดที่เป็นคนทำ มีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่สามารถรับผิดชอบได้ คือ โดมินิค ตอร์เรโต (วิน ดีเซล) และกลุ่มนักแข่งรถข้างถนนของเขา ในช่วงกลางคืน ตอร์เรโตและทีมนักแข่งรถบนท้องถนนกำลังขับรถในลอสแองเจลิส Brian O’Conner (Paul Walker) เจ้าหน้าที่สายลับ LAPD ภายใต้นามแฝง “Brian Earl Spilner” เขาได้รับมอบหมายให้ค้นหาว่าใครขโมยสินค้าไป
นี่คือภาพยนตร์เรื่องโปรดของฉัน เป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่ดีเกี่ยวกับการปล้นเงิน 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และไม่เกี่ยวกับรถยนต์ ทำไมฉันถึงรักหนังเรื่องนี้? เพราะเป็นหนังที่ฉลาด ฉลาด บันเทิง ดำเนินเรื่องเร็วและไม่น่าเบื่อ สาวๆทีมนี้สวยจัง ซีเควนซ์แอ็กชันเกิดขึ้นจริงและทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ
ฉันชอบที่พอล วอล์คเกอร์ผู้ล่วงลับรับบทเป็นไบรอัน โอคอนเนอร์และตำรวจสายลับแอล.เอ.ที่พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉันเป็นแฟนของ Paul Walker และ Brian O’Conner เป็นตัวละครที่ฉันชื่นชอบจากแฟรนไชส์และซีรีส์ทั้งหมด ฉันกำลังบอกว่า The Fast and the Furious นั้นดีกว่าภาค 2,3 และ 7 ด้วยซ้ำ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงค่อนข้างดี
⭐ ให้ 8/10 คะแนน ทุกๆ ฤดูร้อน จะมีภาพยนตร์มาฉายให้ทุกคนประหลาดใจ ปีที่แล้วมันเป็น Scary Movie และฉันแน่ใจว่าในปี 1977 มันเป็นหนังที่เหมือนกับ Star Wars และในปี 1981
ก็เป็น Raiders of the Lost Ark ตอนนี้ฉันไม่ได้บอกว่า The Fast and the Furious นั้นอยู่ในระดับเดียวกับ Raiders และ Star Wars เพียงแค่ทำให้ทุกคนประหลาดใจในระดับเดียวกัน F&F
สั้นในเรื่องโครงเรื่องและบทสนทนา และแม้แต่การแสดงบางส่วนก็ดูงี่เง่า แต่ที่มันไหลออกมาก็คือฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน มันสูบฉีดเลือด เพิ่มอะดรีนาลีน และโจมตีคุณด้วยรถเร็ว ผู้หญิงเซ็กซี่
และสิ่งที่คงเส้นคงวาซึ่งฉันคิดว่ามันเข้าท่า… วิน ดีเซล มีบางอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ บางอย่างที่คุณไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เขาก็แค่มีมัน บางทีมันอาจเป็นความสามารถพิเศษ บางทีอาจเป็นเสน่ห์ บางทีอาจเป็นเพียงการที่เขามีลักษณะคล้ายกับฮีโร่แอ็คชั่นบางคนจากยุค 80
ด้วยไตรเซปสกัดและแผ่นเพซของเขา บางทีมันอาจจะเป็นทั้งหมดเหล่านั้น และอาจจะไม่ใช่เลยสักอย่าง ทั้งหมดที่ฉันรู้ก็คือ F&F เป็นสิ่งที่ฉันหวังไว้อย่างแน่นอนและไม่มีอะไรเพิ่มเติม นี่คือหนังฤดูร้อนที่ฉันรอคอย
ไม่ใช่ว่าภาพยนตร์ที่ออกฉายมาจนถึงตอนนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเพราะบางเรื่องก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่นี่คือภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นช่วงฤดูร้อนของวัยรุ่นเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่เอ็กซิทโพลล์สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้มีคนอายุต่ำกว่า 21 ปี
ประมาณ 65-70% และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงสนุกกับมันมาก ฉันกำลังจะอายุ 30 ขึ้นไป แต่มันก็ไม่เจ๋งเลยที่จะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในภาพยนตร์ที่ทำให้คุณนึกถึงสมัยมัธยมปลาย และมันก็เจ๋งไม่น้อยที่ได้เห็นนักแข่งบนท้องถนนวิ่ง 140 ไมล์ต่อชั่วโมงโดยที่พวกเขายิง NOS ผ่านยานพาหนะของพวกเขา ก็ไม่ใช่เหรอ?F&F ไม่มีกลไกใดๆ ที่คล้ายกับภาพยนตร์อย่าง Mission Impossible และมันไม่ได้ทำให้เราตื่นตาด้วยเอฟเฟกต์พิเศษของหายนะที่ใกล้จะมาถึงเหมือนที่ Armageddon ทำ แต่มันพาเราไปสู่โลกที่ผู้คนใช้ชีวิต “หนึ่งในสี่ไมล์ในระยะทางหนึ่งไมล์” เวลา.”
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 36%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 50%
รายได้ทั่วโลก : 236 ล้านเหรียญ
⭐ ให้ 10/10 คะแนน
2 Fast 2 Furious (2003) ได้รับการประเมินต่ำไปอย่างมาก มีหนังแอคชั่นคุณภาพดีที่ให้ความบันเทิงสำหรับภาคต่อ ฉันเป็นแฟนของ Paul Walker และฉันก็รักเขาและตัวละครของเขา Brian O’Conner อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ L.A. ดังนั้นฉันไม่สนใจว่าใครจะพูดอะไรเนื่องจากการไม่มี Vin Diesel เป็นเรื่องแย่มาก ก็ไม่ใช่! Paul Walker เล่นคนเดียว ดังนั้นเขาจึงเป็นดาราที่ยอดเยี่ยม ปล่อยให้หนังเรื่องนี้อยู่คนเดียวมันค่อนข้างดีและในความคิดของฉันทำได้ดีกว่า The Fast and the Furious: Tokyo Drift (2006)
และ Furious Seven (2015) ค่อนข้างมาก คุณมีไทรีส กิ๊บสัน, คริส บริดเจส, เจมส์ รีมาร์, โคล เฮาเซอร์, เอวา เมนเดส และธอม แบร์รี รับบทเป็นเจ้าหน้าที่บิลกินส์ ซึ่งกลับมารับบทของเขาตั้งแต่ภาคแรกที่นี่
ฉันชอบหนังเรื่องนี้ไม่มากเท่ากับที่ฉันชอบ (2013), Fast Five (2011), The Fast & The Furious (2001) และ (2009) John Singleton ทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์ภาคต่อที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม “เอาล่ะ มาดูกันว่าสิ่งนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง”
‘ความตื่นเต้นเร้าใจที่เริ่มต้นจาก The Fast and the Furious พลิกโฉมครั้งใหม่อย่างระเบิดอารมณ์ใน 2 Fast 2 Furious! เป็นคำตอบที่ใช้เชื้อเพลิงไนโตรสำหรับคำถาม: คุณชอบมันเร็วแค่ไหน? ตอนนี้อดีตตำรวจที่กำลังหลบหนี ไบรอัน โอคอนเนอร์ (พอล วอล์คเกอร์) ติดอยู่กับการแข่งรถบนท้องถนนที่ผิดกฎหมาย เมื่อรัฐบาลกลางส่งอาวุธกลับอย่างแข็งแกร่ง
ทักษะการชนะหรือตายของโอคอนเนอร์ก็ถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อต่อสู้กับเจ้าพ่อค้ายาข้ามชาติ ด้วยปืนลูกซองคู่หูผู้ติดความเร็ว
(ไทรีส กิ๊บสัน) และสายลับสุดสวย (เอวา เมนเดส) ที่เร่งเร้า 2 Fast 2 Furious เร่งดำเนินการไปสู่การแข่งขันที่สิ้นหวังเพื่อความอยู่รอด ความยุติธรรม… และ ความเร็วที่เหลือเชื่อจนอ้าปากค้าง!’
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 38%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 69%
รายได้ทั่วโลก : 157 ล้านเหรียญ
⭐ ให้ 6/10 คะแนน นี่คือการบรรยายที่น่าตื่นเต้นของการแข่งรถดริฟท์อัตโนมัติด้วยการทำงานของกล้องที่ประณีตเป็นพิเศษและฉากการไล่ล่ารถที่ยอดเยี่ยมและการชนบนท้องถนนในตัวเมือง เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นอเมริกันหัวรุนแรงชื่อชอว์น บอสเวลล์ (ลูคัส แบล็กในฐานะนักขับรถแข่งผู้มุ่งมั่น) ท้าทายผู้เข้าแข่งขันเพื่อชิงรถแข่ง ทำให้เกิดความหายนะในการแข่งรถด้วยความเร็ว 195 ไมล์ต่อชั่วโมงผ่านถนน
เพื่อหลีกเลี่ยงคุก แม่ของเขา (ลินดา บอยด์) จึงส่งโตเกียวไปให้เขา ซึ่งพ่อของเขา (ไบรอัน กู๊ดแมน) เป็นกองทัพสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ชอว์นหน้าใหม่ก็พยายามสานสัมพันธ์กับทวิงกี้ (นาธาลี เคลลีย์)
และโลกแห่งการแข่งรถในญี่ปุ่น และหวังว่าจะได้เข้าร่วมกลุ่มขยายของเขา ในโตเกียว เขาค้นพบโลกใต้ดินของยาซูกะ และแข่งขันกับเจ้าพ่อดริฟท์ที่เป็นหลานสาวของหัวหน้ามาเฟีย (ซันนี่ ชิบะ ที่ทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือ)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานระหว่างฉากแอ็คชั่น ดราม่า การไล่ล่าอันน่าตื่นเต้น ความลุ้นระทึก ความรุนแรงเล็กน้อย และซีเควนซ์ที่ตระการตา แม้ว่าจะไม่มีความหมายอะไรมากบนทีวีจอเล็กๆ ก็ตาม รถแข่งสุดฉูดฉาดที่มีฉากในญี่ปุ่นโดยโปรดิวเซอร์ -นีล มอริตซ์ผู้โด่งดังในครึ่งแรก การเคลื่อนไหวที่เร็วขึ้นแต่มีความคิดโบราณมากมายและการขับขี่ที่สกปรกมากมายและหนักกว่าการชนมากกว่าการเชื่อมโยงกัน
การแสดงผาดโผนทั้งหมดดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงโดยไม่มีผู้คนได้รับความเสียหาย แขกรับเชิญพิเศษโดย Vin Diesel และการปรากฏตัวของ Sonny Chiba ไอดอลกังฟูแห่งยุค 70 การกำกับของจัสติน ลิน (ก่อนหน้านี้สร้างเรื่อง Annapolis และ Better Luck ในวันพรุ่งนี้) มีความสามารถ แม้ว่าเรื่องราวจะหมดไปในที่สุดก็ตาม Justin Lin
กำลังกำกับภาคที่สามร่วมกับ Vin Diesel, Michelle Rodriguez และ Jordana Brewster ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความหมายใหม่แก่คำว่า ¨การปรับแต่ง¨ และ ¨Drifting¨ หนังเรื่องนี้ถูกใจคนรักอะดรีนาลีนและคนหนุ่มสาวที่มองหาอารมณ์รุนแรง นี่คือภาพยนตร์ประเภทที่ผู้ชื่นชอบรถยนต์จะได้เพลิดเพลินอย่างล้นหลาม เป็นสิ่งที่ผู้ชื่นชอบรถยนต์ต้องดู
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 29%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 67%
รายได้ทั่วโลก : 359 ล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 78%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 83%
รายได้ทั่วโลก : 629 ล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 71%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 84%
รายได้ทั่วโลก : 789 ล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 81%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 82%
รายได้ทั่วโลก : 1.51 พันล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 67%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 72%
รายได้ทั่วโลก : 1.23 พันล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 68%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 88%
รายได้ทั่วโลก : 760 ล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 59%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 82%
รายได้ทั่วโลก : 719 ล้านเหรียญ
คะแนนฝั่งนักวิจารณ์ : 55%
คะแนนฝั่งผู้ชม : 87%
รายได้ทั่วโลก : — ล้านเหรียญ
หลังความสำเร็จอย่างล้นหลามของ FURIOUS 7 ในปี 2015 ที่คว้าตำแหน่งหนังทำเงินทั่วโลกทะลุ 1 พันล้านเหรียญได้เร็วสุดตลอดกาล เลยไม่แปลกที่ภาคต่ออย่าง8 จะตามออกมาอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 2 ปี แม้เรื่องทุนจะไม่ใช่ปัญหาแต่อุปสรรคที่ทีมงานทุกคนต้องเจอคือก้าวต่อไปโดยไม่มี Paul Walker หนึ่งในเสาหลักของแฟรนไชนส์ที่จากเราไปในปี 2014 และทิ้งโจทย์ให้ทีมเขียนบทคิดกันต่อว่า จะพาแก๊งเร็ว..แรงทะลุนรก ไปในทิศทางไหน
Fast & Furious เร็ว..แรงทะลุนรก ทุกภาค แล้วใครจะไปนึกว่าเฟรนไชส์หนังแอคชั่นสุดซิ่งที่เกือบจะไปไม่รอดเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ตอนนี้กลายมาเป็นหนึ่งในเฟรนไชส์หนังที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกในยุคปัจจุบัน กับจุดขายความเป็นครอบครัวที่เป็นปึกแผ่น กลายเป็นแรงดึงดูดมัดหัวใจแฟน ๆ หนังชุดนี้เอาไว้ได้อยู่หมัด จนวันนี้หนังภาคที่ 10 ได้ลงโรงฉายออกสู่สายตาผู้ชมอย่างเกรียงไกรแล้ว แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เฟรนไชส์หนัง Fast and Furious ก็ถือว่าต้องฝ่าฟันอะไรต่าง ๆ มามากมาย จนมาสู่หนทางแห่งความสำเร็จเช่นนี้ได้ เพราะถ้าไม่เจ๋งจริงคงไม่มีโอกาสได้ยืนยาวสร้างมาถึงภาคที่ 10 กลายเป็นเฟรนไชส์หนังที่ทำเงินทั่วโลกในระดับ 6 พันล้านเหรียญ หรือมีนักแสดงชั้นนำอยากจะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแฟมิลี่แห่งนี้มากมายเท่านี้
ไม่น่าเชื่อว่าภาพยนตร์อย่าง Fast & Furious จะมาถึงภาคที่ 10 ได้ จากหนังอาชญกรรมแข่งรถ ในภาคที่ 1 ในชื่อภาษาไทยแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า เร็ว..แรงทะลุนรก ในปี ค.ศ. 2001 ที่ทำกลุ่มนักแสดงนำโด่งดังทุกคน ไม่ว่าจะ วิน ดีเซล (Vin Diesel), พอล วอล์คเกอร์ (Paul Walker) และ มิเชลล์ รอดรีเกซ (Michelle Rodriguez) จนสร้างตำนานมากมาย รวมถึงนักแสดงชื่อดังคั่บคังที่มาร่วมแจมระหว่างทาง มาจนถึง Fast & Furious 10
ภาคที่ทำให้เรารู้จักตัวละครอย่าง โดมินิค โทเรตโต (Dominic Toretto), เลตตี ออร์ทิซ (Letty Ortiz), ไบรอัน โอ’คอนเนอร์ (Brian O’Conner) และ มีอา โทเรตโต (Mia Toretto) ที่เป็นฐานหลักของแฟรนไชส์จนบัดนี้โดยเนื้อหาในภาคแรกเป็นจุดเริ่มต้นของ ไบรอัน โอ’คอนเนอร์ ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ได้รับมอบหมายให้แทรกซึม และ ปราบปรามกลุ่มหัวขโมย ไบรอันพบเบาะแสจาก โดมินิก โทเรตโต หัวโจกของกลุ่มหัวหน้ารถ และ มันซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะดอมยังเป็นพี่ชายของ มีอา เจ้าของร้าน Toretto’s Market แต่ไบรอัน ก็ดันตกหลุมรัก มีอาเสียได้
แม้จะมาเป็นตำรวจปลอมตัวมา ไบรอันสร้างความประทับใจให้ดอมด้วยสไตล์การขับรถของเขา และ ในที่สุดก็ยอมเข้าร่วมทีมของดอม (ซึ่งแน่นอน นายมันยังไม่ใช่ครอบครัว) น่าเสียดายที่ ไบรอัน คงไม่สามารถทำแบบนี้ได้อีกนาน เลยต้องรีบเคลียร์กับครอบครัว โทเรตโต ซึ่งก็เมื่อดูเหมือนว่า ดอม และ เดอะแก๊ง ต้องลงเอยด้วยการจบไม่สวย เมื่อความลับว่าไบรอันเป็นตำรวจถูกเปิดเผย และ ดอมถูกบังคับให้ออกจากเมืองเพื่อหลบหนี ทั้งสองจึงมีการแข่งขันกันหนึ่งควอเตอร์ไมล์สุดท้าย ในท้ายที่สุด แทนที่จะจับเพื่อนใหม่ของเขาไปขัง แต่ ไบรอัน ให้กุญแจรถแก่ดอม และ ปล่อยให้เขาซิ่งไปไกล ๆใครได้ดูภาคแรกตอนนั้นก็คงอารมณ์ค้างไปตาม ๆ กัน แต่แน่นอนนี้คือจุดเริ่มตำนานแห่งคำว่า “ครอบครัว”
ภาค 2 ของตระกูล Fast ที่เป็นภาคที่ตัวละครของ วิน ดีเซล อย่าง โทเรตโต ได้อันตรธานหายไป และ เรื่องเดียวที่ไม่มีเขาโผล่มาเลย แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องขับรถหนีไปในท้ายเรื่องภาค 1 แต่เนื่องมาจาก วิน ติดการถ่ายทำ xXx (2002) ในเวลานั้น ถ้าลำดับไทม์ไลน์แล้ว 2 Fast 2 Furious เกิดขึ้นในห้าปีระหว่างภาคแรก และ Fast ภาค 4 ซึ่งมันก็ครอบคลุมถึงสิ่งที่ตัวละคร ไบรอัน โอ’คอนเนอร์ ได้ทำหลังจากภาคแรก อีกทั้งภาค 2 ยังได้แนะนำ ตัวละคร โรมัน เพียร์ซ ที่แสดงโดย ไทรีส กิบสัน (Tyrese Gibson) เพื่อนเก่าที่กลายเป็นศัตรูกับไบรอัน และ เทจ ปาร์คเกอร์ ที่รับบทโดย ลูดาคริส (Ludacris) ซึ่งตอนหลังก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของทีมดอมมาจนถึงภาคปัจจุบันFast & Furious 10
เนื้อหาภาค 2 ไบรอันได้แปลงโฉมจากตำรวจนอกเครื่องแบบมาเป็นราชาในตำนานแห่งวงการแข่งรถบนถนนไมอามี ร่วมกับผู้จัดงาน และ อดีตนักแข่งรถ เทจ ปาร์คเกอร์ ซึ่งไบรอันกำลังกอบโกยเงินในไมอามี ทั้งหมดนี้ แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็มาหยุดลง เมื่อเขาถูกจับกุมโดยกรมตำรวจไมอามี หลังจากที่พวกเขายิงฉมวกไฟฟ้าใส่รถไบรอัน ขณะที่เขาขับรถออกไปหลังการแข่งขัน ซึ่งจะบอกว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ตำรวจใช้ตลอดทั้งเรื่องเพื่อปิดการทำงานของรถยนต์นั้นไม่มีอยู่จริง กรมตำรวจไมอามี ต้องการให้ ไบรอัน แฝงตัวเข้าไปในองค์กรอาชญากรรมของ เวโรน ที่รับบทโดย โคล ฮอเซอร์ (Cole Hauser) โดยมีข้อเสนอว่า จะล้างประวัติอาชญากรรมของเขาทั้งหมด หากเขาสามารถจัดการกับเจ้าพ่อยาเสพติดในไมอามี่ได้ ซึ่งแน่นอน ไบรอันก็เลยชักชวนเพื่อนซี้สมัยเด็กที่เป็นอดีตนักโทษ โรมัน มาช่วย อีกทั้งด้วยความช่วยเหลือจากสายลับนอกเครื่องแบบอีกคนอย่าง โมนิกา ฟูเอนเตส ที่แสดงโดย เอวา เมนเดส (Eva Mendes) ก็คงไม่ต้องคาดเดาว่าจับได้หรือไม่ เพราะไบรอัน และ โรมันผนึกกำลังจับกุมเวโรนสำเร็จ ล้างประวัติอาชญากรรม และ หลบหนีไปพร้อมกับเงินสดที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายมาก ทุกอย่างจบลงด้วยดี
ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ที่มีเนื้อหาค่อนข้างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์จากฉากหลังที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น และ ไม่เหมือนใครในแง่ที่ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องไม่ได้มีการเชื่อมโยงกับโครงเรื่องหลักของแฟรนไชส์ ถึงกระนั้นมีข้อยกเว้นข้อหนึ่งนั้นก็คือตัวละคร ฮาน ที่นำแสดงโดย ซอง คัง (Sung Kang) เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนระหว่างการแข่งขันบนท้องถนน เมื่อภาพยนตร์ออกฉายในปี ค.ศ 2006 ก็ไม่รู้ว่าใครจัดการเขา นั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นใน Tokyo Drift แต่ถ้าดูตามลำดับเวลของเฟรนไชส์นี้เนื้อหาลำดับ 7 ตามไทม์ไลน์ของตระกูล Fast เนื้อหาหลักของภาคนี้ หลังจากการตายของตัวละครจิเซลล์ ของ กัล กาด็อท (Gal Gadot) ใน “Fast & Furious 6” ในที่สุด ฮาน ก็ทำตามสัญญาที่จะไปดู “ฉากแข่งรถบนถนน” ในกรุงโตเกียวในปี 2006 ใน “The Fast and the Furious: Tokyo Drift” แต่เนื่องจาก “Tokyo Drift” เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างแฟรนไชส์ใหม่ โดยไม่มี พอล วอล์คเกอร์ หรือ วิน ดีเซลFast & Furious 10
ทำให้น้ำหนักไปอยู่ตัวละครอย่าง ฌอน บอสเวลล์ นำแสดงโดย ลูคัส แบล็ค (Lucas Black) ฌอนที่หน้าตาดูเหมือนจะเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ผู้ซึ่งถูกส่งไปอยู่กับพ่อของเขาในโตเกียวหลังจากที่เขาชอบแข่งรถบนถนนทำให้เขาจมน้ำในอเมริกา ส่วนในโตเกียว ฌอน ได้พบกับฮาน ซึ่งมีบุคลิกเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และ ทักษะการแข่งรถบนท้องถนนทำให้เขากลายเป็นนักแข่งหลักในวงการแข่งรถใต้ดินฮาน เปรียบเสมือนพี่เลี้ยง ที่ดูแล ฌอน แม้กระทั่งให้ยืมรถ และ สอนวิธีการดริฟต์เพื่อเอาชนะ ดี.เค. ตัวร้ายหลักของเรื่องที่นำแสดงโดย ไบรอัน ที (Brian Tee) หลานชายของหัวหน้าแก๊งยากูซ่า น่าเสียดายที่การฝึกของ ฮาน ถูกขัดจังหวะเมื่อ ดี.เค. และ ลูกน้องของลุงโจมตีโรงรถของฮันโดยในฉากการไล่ล่า ฮาน ถูกคนขับรถที่ผ่านไปชน และ ถังเชื้อเพลิงของเขาก็พุ่งขึ้นไปเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ ดังนั้น ฌอนจึงท้าทาย ดี.เค. สู่การแข่งขันที่ผู้ชนะต้องจากเมืองไปตลอดกาล ต่อจากนั้น ฌอนเป็นผู้ชนะ และ ได้เป็น Drift King คนใหม่ แต่ฉากสุดท้ายของภาคนี้ ดอมดึงตัวขึ้นมาแข่งรถกับฌอน โดยอธิบายว่า “ฮานคือครอบครัว” และ ก็ไม่เฉลยว่าใครชนะในตอนนั้น แต่ในภาค 7 ได้มีการเปิดเผยทีหลังคนชนะ คือ ดอม
การเกิดของภาค 4 อาจจะทำให้เราต้องแกล้งทำเป็นลืมภาค Tokyo Drift เพราะเนื่องจากช่่วงเวลาในภาพยนตร์มันยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกระทั่งของ Fast & Furious 6 ก็คงไม่มีใครรู้ว่าอะไรดลใจให้เกิดพุทธิไอเดีย ว่า Fast and Furious ต้องเปลี่ยนไทม์ไลน์ย้อนหลังแบบนี้ ซึ่งบ่นก็คงเท่านั้น ดูต่อไปสำหรับแฟน ๆ แล้วคุณสงสัยอีกไหมว่าทำไม “Fast & Furious” ภาค 4 ถึงตัด “The” ออกไป เดาเอาเองน่าจะทำให้มันดูคลีน ๆ ขึ้น หรือเปล่า ไม่มีมาบอกเสียด้วย โดยเนื้อหาเริ่มต้นของภาคนี้ เมื่อตัวละคร ดอม, เลตตี, ฮาน และ ซานโตส สามารถขโมยน้ำมันชั้นดี เพื่อมอบให้กับประชาชนในสาธารณรัฐโดมินิกัน ถึงอย่างไรก็ตาม ดอม ก็รู้ดีว่าตราบใดที่เขายังเป็นอาชญากรตัวเอ้ที่ยังถูกล่าไม่เลิก เรื่องก็คงไม่จบง่าย ๆ ซึ่งจะพา เลตตี เสี่ยงถูกจับกุมเช่นกัน เขาจึงทิ้งเลตตีกลางดึกเพื่อไปใช้ชีวิตของเขาในขณะเดียวกัน ไบรอัน ได้ทำงานร่วมกับเอฟบีไอในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนาม พยายามหาเบาะแสของพ่อค้ายาชื่อ บรากา ที่รับบทโดย จอห์น ออร์ติซ (John Ortiz) ดอมกลับถูกบังคับให้กลับไปลอสแองเจลิสหลังจากรู้ว่าเลตตี ถูกคนของบรากาฆ่าตายในขณะที่เธอทำงานร่วมกับไบรอันเพื่อปราบเจ้าพ่อยาเสพติด ถ้าเธอทำสำเร็จ บันทึกอาชญกรรมของดอมจะถูกลบทิ้ง
ทำให้ ดอม และ ไบรอันแอบแฝงเข้าไปในองค์กรแข่งรถบนถนนของบรากา ไบรอันตั้งใจจะจับบรากา ส่วนดอมตั้งใจจะฆ่าเขา ขณะอยู่ที่นั่น พวกเขาพบ และ เป็นเพื่อนกับ จีเซล หนึ่งในมือขวาของบรากา (ที่ตอนหลังมาอยู่ทีม ดอม) ซึ่งในที่สุด ดอม และ ไบรอันก็คืนดีกันในเรื่องอดีตที่ซับซ้อน และ ชวนปวดหัว โค่นบรากาลงได้สำเร็จ ช่วงจุดพีคของหนัง ช่างโชคไม่ดีที่ ดอม ถูกจับโดยเอฟบีไอ และ ถูกตัดสินจำคุก 25 ปี จากความผิดที่เกี่ยวข้องกับการแข่งรถบนท้องถนนก่อนหน้านี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็เป็นโชคดีสำหรับเขาเช่นกันที่ ไบรอัน ก็เคยทำผิดกฎหมายเพื่อช่วยเพื่อนของเขา ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วย ไบรอัน, มีอา และ คนอื่น ๆ ช่วยเขาออกมาจากคุกนั้นเอง สำหรับแฟน ๆ ที่ดูภาค Tokyo Drift ในตอนแรกอาจจะงง ๆ งวย ๆ เพราะดูเหมือน ฮาน จะตายในภาพยนตร์เรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนภาค 3 ดังนั้น เขาจึงยังมีชีวิตดี๊ดี และ ยืนยันว่า เลตตี ที่เป็นตัวเด่นตั้งแต่ภาคแรก “ตาย” อย่างที่เราเห็น รวมถึง ไบรอัน ก็ออกจากอาชีพตำรวจ แล้วกลับมาเริ่มสานสัมพันธ์กับ มีอา หลังจากหายไป 5 ปี ซึ่งจากที่เล่ามาทั้งหมดนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางแผนให้แฟรนไชส์นี้เดินต่อไปได้ คือการให้ครอบครัวของดอม และ อดีตเพื่อนร่วมงาน ทิ้งทุกอย่างในทันทีเพื่อช่วยเขายามมีปัญหา (ก็บทพระเอกละเนอะ)
Fast Five คือภาคที่เพิ่มความมหากาพย์ของหนังตระกูล Fast เข้าไปอีก จากการเข้าร่วมแสดงของ เดอะ ร็อค ในบท ลุค ฮ็อบส์ เจ้าหน้าที่ DSS ที่ต้องการจับกุมดอม และ ไบรอัน แต่ก็ลงเอยด้วยการร่วมมือกับพวกเขา รวมถึง เอเลนา เจ้าหน้าที่ตำรวจในริโอเดจาเนโรที่ทำงานกับ ฮ็อบส์ ที่รับบทโดย เอลซา พาทากี (Elsa Pataky) และ ภาคนี้ยังมีประโยคสุดฮิต สุดมีม อย่าง “คุณก็รู้ที่นี่บราซิล” กลายเป็นบริบทที่คนชอบเอาไปใช้กับสถานที่ที่มันเถื่อน ๆ เหมือนกันนั้นเอง “Fast Five” เป็นภาคที่ต่อเนื่องจาก “Fast & Furious” ที่ได้ทิ้งปมปริศนาไว้ โดย ดอมหนีออกจากคุกพร้อมครอบครัว ส่วนไบรอัน และ มีอา มุ่งหน้าไปยังเมือง ริโอ เด จาเนโร เพื่อรอพบกับดอม และ คิดหาแนวทางรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ต่อไปได้อย่างไร ดังนั้น ไบรอันจึงพยายามขโมยรถจากขบวนรถไฟ โดยหนึ่งในรถที่พวกเขาขโมยเป็นของ เรเยส ที่รับบทโดย โจอาคิม เด อัลเมดา (Joaquim de Almeida) เจ้าพ่อยาเสพติดผู้โหดเหี้ยม โดย ดอม มีอา และ ไบรอัน ตระหนักดีว่า พวกเขามีโอกาสทองที่จะขโมยเงินจากเรเยสให้เพียงพอเพื่อเป็นทุนในการลี้ภัยอย่างถาวร ดังนั้น พวกเขาไม่สามารถทำได้แค่ 3 คนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร้องให้ “ครอบครัว” รวมตัวกัน ทั้ง โรมัน เทจ จีเซล ฮาน เทโก และ ซานโตส ต่างก็มาพร้อมที่จะขโมยเงิน 100 ล้าน จากเรเยส
แต่คุณหรือว่ามันง่ายเหมือนดั่งปอกกล้วยเข้าปาก นอกจาก เรเยส แล้ว อีกอุปสรรคที่ขวางทางพวกเขาก็คือเจ้าหน้าที่ ลุค ฮ็อบส์ พร้อม เอเลนา เจ้าหน้าที่สายตรวจของ รีโอ ที่แค้น เจ้าพ่อยาเสพติดใหญ่ จากสาเหตุการฆาตกรรมสามีของเธอ ซึ่งทั้ง ดอม และ ฮ็อบส์ ต้องเผชิญหน้ากัน แต่ก็ตามสไตล์หนังตระกูล F&F พวกเขาก็ถูกบังคับให้ทำงานร่วมกัน หลังจากที่เรเยสฆ่าทีมทั้งหมดของเจ้าหน้าที่กล้ามโต เว้นแต่ตัวเขาเอง และ เอเลนา โดยการปล้นของเหล่าครอบครัวก็ดำเนินไปโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง ถึงกระนั้น ฮ็อบส์ก็ให้เวลาดอมภายใน 24 ชั่วโมงเต็ม เพื่อให้เวลาหลบหนี ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาตามไล่ล่า และ จับกุมอีกครั้ง โดยในภาคนี้หลายคนแอบแซวพวกเขาตั้งทีม อเวนเจอร์ ในจักรวาล Fast and Furious และ เนื้อหามีการยกระดับมากขึ้นทั้งแอ็คชันที่เหมือนจะแทบจะไม่ใช่หนังรถแข่งกันแล้ว พร้อมความสัมพันธ์ตัวละครภาคนี้ที่พัฒนาจากเดิม ทั้ง มีอา ที่อยากมีเบบี๋กับ ไบรอัน ต่อจากนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ของ ฮาน และ จิเซล ที่เริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ ส่วนทีมดอม เหล่าขโมยก็แยกทาง ราวดั่งกับนี้เป็นงานสุดท้าย แต่แน่นอนมันไม่ใช่ รวมถึงมีการเฉลยว่า เลตตี ยังไม่ตายช่วงกลางเครดิต โอ้! เอากันเข้าไป
Fast & Furious 6 น่าจะภาคที่เหตุการณ์มากมายมากองรวมกันที่เดียว เริ่มต้นที่ไบรอัน และ มีอา กำลังเลี้ยงดูลูกชายของพวกเขา ส่วนโรมัน และ เทจ มีเงินมากพอสำหรับการเล่นอะไรแผลง ๆ ทุกประเภท ด้านฮัน และ จีเซลได้อยู่ด้วยกัน ตัดกลับมาที่พระเอกอย่าง ดอม ได้พบรักครั้งใหม่ กับ เอเลนา อะไรจะเรียกครอบครัวกลับมาได้สำหรับงานสุดท้าย? ก็คำสัญญาว่าจะนิรโทษกรรม และ รับรู้ที่ว่าเลตตียังมีชีวิตอยู่ ปรากฎว่าเลตตี ไม่ได้เสียชีวิตในภาค “Fast & Furious” แต่เธอดันรอดชีวิตจากการระเบิด พ่วงด้วยความจำเสื่อม และ เข้าร่วมทีมฝั่งร้ายที่นำโดยโอเว่น ชอว์ ที่นำแสดงโดย ลุค อีแวนส์ (Luke Evans) ที่โผล่มาในเฟรนไชส์นี้เป็นครั้งแรก ส่วน ฮ็อบส์ และ คู่หูใหม่ของเขา ไรลีย์ รับบทโดย จีนา คาราโน (Gina Carano) ที่นำเหล่า ครอบครัว Fast เข้ามาอยู่ภายใต้แนวคิดที่ว่าหัวขโมยที่เร็วเท่านั้นที่จะจับหัวขโมยที่เร็วเหมือนกัน ทำให้ ดอม ต้องดอมรีบวิ่งเข้าไปหาเลตตี ที่ดันความจำเสื่อมไปเสียอย่างนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ดอม ก็สามารถโน้มน้าวให้เลตตีรู้ว่าเธอถูกชอว์ชักใย และ โน้มน้าวให้เธอเข้าร่วมทีม น่าเสียดายที่เธอไม่ใช่สายลับสองหน้าเพียงคนเดียว ดันเป็น ไรลีย์ อีกคนที่ทำงานให้ชอว์ตลอดเวลา เพียงรอโอกาสเหมาะที่จะหักหลังฮ็อบส์
จุดพีคทุกอย่างมาถึงจุดที่สนามบินยาวที่สุดในโลก เมื่อเหล่าครอบครัวต้องต่อสู้เพื่อหยุดยั้งตัวร้ายจากการหลบหนีด้วยเทคโนโลยีลับของรัฐบาล จีเซลยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยฮาน ชอว์ และ ท้ายที่สุด อาชญากรรมก่อนหน้านี้ทั้งหมดของกลุ่มครอบครัว Fast ได้รับการอภัย ทำให้พวกเขากลับไปลอสแองเจลิสได้อีกครั้ง บทสรุปเรื่องราวภาคนี้ โอเว่น ชอว์ ตัวร้ายของเรื่อง อาการโคม่า ไม่รู้ตายหรือไม่ และ เอเลนา ที่ต้องเลิกรา ดอม เพราะเธอรู้ว่าดีว่า ดอมยังรัก เลตตี อย่างเต็มหัวใจ ถึงแม้ว่าเธอจะท้องก็ตาม (ซึ่งการตั้งครรภ์ของเธอจะไม่ถูกเปิดเผย) ส่วน ตัวละคร ฮาน ยังคงเสียใจ ที่จีเซล ตาย จึงตัดสินใจกลับไปโตเกียว นั้นจึงทำให้ภาค Tokyo Drift เกิดขึ้น และ มีความหมายต่อไทม์ไลน์ Fast อีกทั้งช่วงเครดิตหลังหนังจบก็เผยเหตุการณ์ที่ ฮาน รถชน ใน Tokyo Drift มีสาเหตุมาจากตัวละครที่ยังไม่เปิดเผยชื่อในตอนนั้น ซึ่งรับบทโดย เจสัน สเตแธม (Jason Statham) ซึ่งโทรหา ดอม เพื่อขู่เขา ด้วยข้อความที่ว่า “โดมินิค โดมินิค โทเร็ตโต แกไม่รู้จักฉัน แต่แกจะรู้จักก็ตอนนี้แหละ”
ชื่อภาพยนตร์เริ่มสั้นขึ้นเรื่อย ๆ เหลือแค่ Furious 7 ที่แนะนำตัวร้ายหลักของเรื่องที่โผล่มาในช่วงเครดิตภาคที่แล้วอย่าง เด็คการ์ด ชอว์ ที่นำแสดงโดย เจสัน สเตแธม (Jason Statham) ที่ต้องการแก้แค้นแทน โอเวน น้องชายของเขา และ ติดตามเบาะแสของทีมของ ดอม รวมถึงภาคนี้ นักแสดงชาวไทยคนดังของเราอย่าง จาพนม หรือ โทนี่ ได้ร่วมแสดงในบทตัวร้ายรองในบทชื่อ Kiet ความคลิเช่ อันน่าเบื่อแต่สำคัญ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวในจักรวาล “Fast & Furious” แต่แน่นอนคนเลวก็มีครอบครัวเช่นกัน ในกรณีนี้ โอเวน ชอว์ มีพี่ใหญ่ที่ชื่อเด็คการ์ด (สเตแธม) และ เขาเป็นคือตัวการสำคัญที่ฆ่า ฮาน ในฉากหลังเครดิตของ “Fast & Furious 6” เมื่อทุกคนทราบข่าวการเสียชีวิตของฮาน ดอมจึงเดินทางไปโตเกียวเพื่อแสดงความเคารพ และ เริ่มตามล่าหาเด็คการ์ด ในขณะเดียวกัน เด็คการ์ด ก็ยุ่งอยู่ เขาโจมตีฮ็อบส์ และ เอเลนาแล้ว (ตอนนี้ทำงานกับฮอบส์ในฐานะส่วนหนึ่งของ DSS) เพื่อค้นหาในสิ่งที่เขาทำได้เกี่ยวกับครอบครัว Fast
จนในที่สุดเมื่อดอมได้พบกับเด็คการ์ด การต่อสู้ที่ดุเดือดของพวกเขาก็ถูกขัดจังหวะโดยรัฐบาลลึกลับที่ชื่อว่า มิสเตอร์โนบอดี ที่รับบทโดย ป๋า เคิร์ต รัสเซลล์ (Kurt Russell) ไม่มีใครต้องการให้ดอม และ ทีมของเขาทำงานแปลกๆ เพื่อแลกกับการใช้ God’s Eye ซึ่งเป็นเครื่องมือแฮ็คที่สามารถค้นหาใครก็ได้บนโลกใบนี้ รวมถึงชอว์ด้วย ดอม ได้ช่วยเหลือแรมซีย์ ที่รับบทโดย นาตาลี เอ็มมานูเอล (Nathalie Emmanuel) แฮ็กเกอร์ผู้ออกแบบดวงตาแห่งเทพเจ้า จาก โมเซ จากันเด รับบทโดย จิมอน ฮอนซู (Djimon Hounsou) ทหารรับจ้างชาวโซมาเลียที่พยายามใช้อุปกรณ์ดวงตาแห่งพระเจ้าด้วยเหตุผลชั่วร้าย โดยทุกอย่างมาจบลงที่ลอสแองเจลิส ซึ่งดอมและทีมของเขาต้องกันไม่ให้แรมซีย์อยู่ห่างจากชอว์ และ โมเซ นานพอที่เธอจะปิดใช้งานดวงตาแห่งเทพเจ้าได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหล่าครอบครัวช่วยได้ซิครับ รออะไร ต่อจากนั้น ส่งชอว์เข้าคุก และ ล้างแค้นให้ฮานสำเร็จ รวมถึงเรื่องสำคัญของภาคนี้คือ การเสียชีวิตในชีวิตจริงของ พอล วอล์คเกอร์ ทำให้บทของตัวละคร ไบรอัน ก็จำเป็นต้องแยกคนละทางไปพร้อมกับมีอา และ ลูกชาย เพื่อเป็นการไว้อาลัย และ ให้เกียรติ พอล รวมถึงซีนสุดท้ายอันโด่งดัง ระหว่างตัวละคร ดอม และ ไบรอัน พร้อมเพลง “See You Again” บรรเลงขึ้น กลายเป็นภาพจำไปตลอดกาล
8. The Fate of the Furious (2017) fast and furious 8
The Fate of the Furious หรือเข้าใจง่าย ๆ ก็คือภาคที่ 8 ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้บ้าดีเดือดเข้าไปทุกที เพราะพวกเขามีทีมต่อสู้กับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ขนาดยักษ์ พร้อมวายร้ายหน้าใหม่ล่าสุด อย่างชื่อไซเฟอร์ ที่รับบทโดย ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) ซึ่งดอมต้องทำงานให้เธอ โดยข่มขู่เปิดวิดีโอลูกชายของเขา ซึ่งถูกเธอลักพาตัวไปพร้อมกับเอเลนา เปิดหัวมาขนาดนี้ก็ความมันก็คงรออยู่ จากภาคที่แล้ว ว่าด้วยการกอบกู้โลก และ ล้างแค้นให้ฮาน ทางดอม และ เลตตี ได้หวนคืนสู่รักแรกของพวกเขา นั่นคือการแข่งรถบนท้องถนน หลังจากเอาชนะนักแข่งรถท้องถิ่นในฮาวานา แต่ดันเจอเรื่องซวย ดอมบังเอิญเจอไซเฟอร์ ผู้ก่อการร้ายทางไซเบอร์ที่แบล็กเมล์ให้เขาหักหลังครอบครัว แต่ทำไมดอมถึงทรยศต่อครอบครัวของเขา? สำหรับครอบครัวแน่นอน เอเลนา อดีตแฟนสาวของ ดอม แอบมีลูกระหว่างเหตุการณ์ใน “Fast & Furious 6” และ “Fate of the Furious” (ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เฉลย) และ ไซเฟอร์จับทั้งสองคนเป็นตัวประกัน เว้นแต่ ดอม จะให้สิ่งที่เธอต้องการ และ สิ่งที่เธอต้องการคือระเบิด
ในขณะที่ดอมต่อสู้กับครอบครัวของเขา และ มิสเตอร์โนบอดี ถึงกระนั้นเขาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่า และ ศัตรูล่าสุดอย่าง เทโก, ซานโตส, พี่น้องชอว์ และ เหล่านักแข่งรถข้างถนนในตอนต้นของภาพยนตร์ ทั้งหมดช่วยแต่งเรื่องกับไซเฟอร์ เพื่อหลอกว่าเขาก็ทำงานให้เธออยู่อย่างชัดเจน จนสุดท้ายก็รอดมาได้ แต่ก็น่าเสียดายที่ เอเลนา ดันเสียชีวิตเสียก่อน ส่วนไซเฟอร์หนีไปกรุงเอเธนส์ และ วางแผนภาคต่อในอนาคต (เพราะเธอจะไปโผล่เป็นหนึ่งในตัวร้ายในภาค 9 นั้นเอง) ขณะที่ เด็คการ์ดมาถึงหลังการต่อสู้กับลูกชายที่ไม่มีชื่อของดอม ซึ่งเขาก็ตั้งชื่อไบรอันตามเพื่อนที่ดีที่สุดของดอม นั้นเอง โดยเป็นภาคที่มีภาพจำของ ระหว่าง ฮ็อบส์อยู่ในคุกเดียวกับเด็คการ์ด ชอว์ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด รวมถึง ดอม ที่ระมัดระวังในการรับมือไซเฟอร์ด้วยความช่วยเหลือจากอดีตเพื่อนร่วมงาน และ ศัตรู รวมถึงทั้งพี่น้องชอว์ ซึ่งโอเวนไม่อยู่ในอาการโคม่าแล้วแต่อย่างใด ไปจนถึงกระทั่งแม่ของพี่น้องชอว์ที่รับบทโดย เฮเลน มิร์เรน (Helen Mirren)
เป็นภาคที่ความทะเยอทะยานจนที่เคยถูกแซวสักวันคงได้มาอวกาศ Fast & Furious 9 เขาก็จัดให้เลย และ นับเป็นภาคที่มีการกระโดดข้ามเวลากันอีกแล้ว รวมถึงตัวละครน้องชายของ ดอม ที่ถูกจับเพิ่มเข้ามาแบบงง ๆ อย่าง จาคอบ ที่นำแสดงโดย จอห์น ซีนา (John Cena) และ ไซเฟอร์ ของ ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) ที่มาเป็นตัวร้ายภาคนี้อีกครั้ง โดยภาพยนตร์ตัดระหว่างไทม์ไลน์ปัจจุบัน และ ช่วงปลายยุค 80 ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวเบื้องหลังของครอบครัวโทเรตโต จากแจ็ค โทเรตโต พ่อของดอม ที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงมาก่อนหน้านั้น ก็ปรากฏตัวในช่วงสั้น ๆ โดยเขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุการแข่งรถที่ดุเดือด และ รุนแรงในการแข่งขันรอบสุดท้ายของปี เป็นต้นเหตุที่ทำให้ดอม และ น้องชายอย่าง จาคอบ ต้องบอบช้ำจากเหตุการณ์ในอดีตส่งผลต่อปัจจุบัน ทำให้พวกเขามองหน้ากันไม่ติด มีใช้อาชญากรรม และ ความรุนแรงในขณะนั้น
จนดอมตอนหนุ่มก็จบลงด้วยการติดคุก และ ห่างเหินจาก จาคอบ จนถึงปัจจุบัน ใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ แต่งงานกับเลตตี และ เลี้ยงดู ไบรอัน ลูกชายของพวกเขา แต่แล้ว โรมัน, เทจ และ แรมป์ซีย์ ปรากฏตัวพร้อมข่าวว่า มิสเตอร์โนบอดี ได้ลักพาตัว ไซเฟอร์ และ ทำให้เครื่องบินของเขาตกในอเมริกากลาง ซึ่งในการกู้เครื่องบิน พวกเขาได้ค้นพบอุปกรณ์เจาะระบบคอมพิวเตอร์ลึกลับที่เรียกว่า Aries ซึ่งเป็นผลิตผลของน้องชายที่หายสาบสูญไปนานของดอม การหยุดความพยายามของเขาที่มีต่อการก่อการร้ายทั่วโลกหมายถึงการได้ทีม “Fast and Furious” ทั้งหมดที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ กลับมารวมกันอีกครั้ง และ มันจะพาพวกเขาไปทั่วโลกไปเจอทั้งรถบรรทุกหุ้มเกราะ เครื่องบินไอพ่นควบคุมระยะไกล และ แม้แต่ไปอวกาศเพื่อหยุดดาวเทียม และ ก็จบด้วยที่สองพี่น้อง ดอม และ จาคอบ เข้าใจกันดี ร่วมมือกัน เอาชนะตัวร้ายไปได้ในส่วนท้ายเรื่องเราจะได้เห็น ไบรอัน โอคอนเนอร์ ที่คิดว่าตายไปแล้วปรากฏตัวขึ้นที่ส่วนท้ายของภาพยนตร์ ก็ไม่แน่ใจใส่เพื่อระลึกถึงหรือเปล่านั้นเอง
เกือบระยะเวลา 21 เข้าสู่ปีที่ 22 ของ หนังตระกูล Fast and Furious ที่ยกระดับจากหนังแข่งรถข้างถนนในยุคที่แผ่น DVD ยังขายดีเทน้ำท่าจนมายุคสตีมมิง ผ่านวิกฤตโควิด-19 ก้าวเข้าสู่ภาคที่ 10 ในชื่อ Fast X หรือ Fast & Furious 10 ที่ตัวละครหลักของฝั่งพระเอก โดมินิค โทเร็ตโต ที่มาครบทีมครอบครัว พร้อมแนะนำตัวละครใหม่อย่าง ดันเต ที่รับบทโดย เจสัน โมมัว (Jason Momoa) ตัวร้ายที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า เป็นลูกชาย เฮอร์นัน อาชญากรค้ายาตัวร้ายจากภาค Fast Five ที่ถูกครอบครัว Fast ฆ่า ทำให้เหตุการณ์เป็นจุดเชื่อมระหว่างภาค 5 และ ภาค 10 แน่นอน ดันเต ขนความแค้นกลับมาเต็มที่เพื่อทำแบบเดียว ดอม เคยทำกับครอบครัวเขาเช่นกัน รวมถึงตัวละคร เทส ของ บรี ลาร์สัน (Brie Larson) ที่คาดเดาว่าจะมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ ดอม ซึ่งถ้าดูจากตัวอย่างล่าสุดที่ปล่อยมาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา บทของ ดันเต ของ เจสัน โมมัว จะเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจมากกว่าภาคอื่น ๆ ทั้งฉากต่อสู้ด้วยตัวเอง รวมถึงฉากไล่ล่าในกรุงโรม และ ลูกระเบิดขนาดยักษ์สร้างความหายนะให้กับเมืองหลวงของอิตาลี ต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นคงต้องไปลุ้นกันในโรงภาพยนตร์อีกที fast and furious 10 full movie
The Fast and the Furious 1 (2001) เร็ว…แรงทะลุนรก
2 Fast 2 Furious (2003) เร็ว…แรงทะลุนรก: เร็วคูณ 2 ดับเบิ้ลแรงท้านรก
The Fast and the Furious 3 Tokyo Drift (2006) เร็ว…แรงทะลุนรก ซิ่งแหกพิกัดโตเกียว
Fast and Furious 4 (2009) เร็ว…แรงทะลุนรก 4: ยกทีมซิ่ง แรงทะลุไมล์