เรื่องย่อ : American Psycho (2000) อเมริกัน ไซโค ดูหนังออนไลน์ หนังใหม่ ดูหนังHD ดูหนังฟรี MovieHD24 หนัง2024 หนังออนไลน์ Full HD
ดูหนัง American Psycho (2000) อเมริกัน ไซโค แพทริค เบตแมน ผู้บริหารวาณิชธนกิจผู้มั่งคั่งในนิวยอร์กซิตี้ ซ่อนอัตตาโรคจิตอีกประการหนึ่งของเขาไม่ให้เพื่อนร่วมงานและเพื่อน ๆ ของเขารู้ ในขณะที่เขาเจาะลึกเข้าไปในจินตนาการอันรุนแรงและหยิ่งผยองของตัวเองเป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญสยองขวัญเสียดสี ออกฉายปี 2000 กำกับโดย แมรี แฮร์รอน ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ เบรต อิสตัน เอลลิส นำแสดงโดย คริสเตียน เบล ในบทบาท แพทริก เบทแมน ชายหนุ่มนักธนาคารที่ประสบความสำเร็จในนิวยอร์กซิตี้ แต่เบื้องหลังเปลือกนอกที่สมบูรณ์แบบนั้น เขากลับซ่อนความลับอันดำมืด เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม ดูหนังออนไลน์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามเรื่องราวชีวิตของแพทริก เบทแมน ชายหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์ดี ร่ำรวย ฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เต็มไปด้วยปาร์ตี้ ยาเสพติด และความสัมพันธ์ที่ผิวเผิน แต่เบื้องหลังเปลือกนอกที่สมบูรณ์แบบนั้น เบทแมนกลับมีจิตใจที่โหดเหี้ยม เขาฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม ทรมานเหยื่อ และชื่นชอบการฟังเพลงป๊อป เบทแมนรู้สึกแปลกแยกจากสังคม เขาหมกมุ่นอยู่กับวัตถุนิยม ความรุนแรง และเพศ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการวิจารณ์เชิงบวกจากนักวิจารณ์ หลายคนยกย่องภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าประทับใจ สร้างแรงบันดาลใจ และสะเทือนใจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยกย่องในด้านการแสดง กำกับ บทภาพยนตร์ และดนตรี
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามเรื่องราวชีวิตของ แพทริก เบทแมน (Patrick Bateman) ชายหนุ่มนักธนาคารที่ประสบความสำเร็จ รูปหล่อ ร่ำรวย ฉลาด ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา เต็มไปด้วยปาร์ตี้ ยาเสพติด และความสัมพันธ์ที่ผิวเผิน แต่เบื้องหลังเปลือกนอกที่สมบูรณ์แบบนั้น เบทแมนกลับมีจิตใจที่โหดเหี้ยม เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยม ทรมานเหยื่อ และชื่นชอบการฟังเพลงป๊อป เบทแมนรู้สึกแปลกแยกจากสังคม เขาหมกมุ่นอยู่กับวัตถุนิยม ความรุนแรง และเพศ
ในปี 1987 นายธนาคารเพื่อการลงทุน แพทริก เบตแมนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรับประทานอาหารที่ร้านอาหารยอดนิยมในขณะที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่อคู่หมั้นของเขา เอเวลิน วิลเลียมส์ รวมถึงกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ร่ำรวยของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เขาเกลียด ในการประชุมทางธุรกิจ เบตแมนและเพื่อนร่วมงานอวดนามบัตร ของ พวกเขาอย่างคลั่งไคล้การออกแบบของพวกเขา เบตแมนโกรธแค้นที่นามบัตรของพอล อัลเลน เพื่อนร่วมงานของเขาเหนือกว่า เขาจึงพบชายไร้บ้านและสุนัขของเขาในตรอกตอนกลางคืนและฆ่าพวกเขา เบตแมนและอัลเลน ซึ่งเข้าใจผิดว่าเบตแมนเป็นเพื่อนร่วมงานอีกคน วางแผนทานอาหารเย็นหลังงานปาร์ตี้คริสต์มาส เบตแมนไม่พอใจอัลเลนที่ใช้ชีวิตแบบร่ำรวยและความสามารถในการจองโต๊ะที่ดอร์เซีย ซึ่งเป็นร้านอาหารสุดหรูที่เบตแมนเข้าไปไม่ได้ เบตแมนทำให้อัลเลนเมามาย ล่อลวงเขาไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขา และฆ่าเขาอย่างรุนแรง เบตแมนกำจัดศพและเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ของอัลเลนเพื่อบันทึกข้อความขาออกในเครื่องตอบรับของ เขา โดยอ้างว่าอัลเลนไปลอนดอน
นักสืบเอกชน Donald Kimball สัมภาษณ์ Bateman เกี่ยวกับการหายตัวไปของ Allen โดยระบุว่า Allen อาจเคยถูกพบเห็นในลอนดอน Bateman เชิญ Christie และ Sabrina โสเภณีสองคนไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขา ซึ่งทั้งคู่มีเซ็กส์กัน จากนั้นเขาก็ทรมานพวกเขา จ่ายเงินให้พวกเขา และส่งพวกเขากลับบ้าน ไม่นานหลังจากที่ Luis Carruthers เพื่อนร่วมงานของ Bateman เปิดเผยการ์ดติดต่อธุรกิจใบใหม่ Bateman พยายามบีบคอเขาในห้องน้ำของร้านอาหารราคาแพง Carruthers เข้าใจผิดว่าความพยายามดังกล่าวเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ และประกาศความต้องการที่มีต่อ Bateman ซึ่งรู้สึกขยะแขยงและหนีไป Kimball ซึ่งตอนนี้เริ่มสงสัย Bateman จึงสัมภาษณ์เขาเป็นครั้งที่สอง ต่อมา Bateman ฆ่านางแบบและเก็บศีรษะที่ถูกตัดขาดของเธอไว้ในช่องแช่แข็งของเขา วันรุ่งขึ้น Bateman เชิญ Jean เลขานุการของเขาไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขา ขณะที่ Bateman เตรียมที่จะฆ่า Jean ด้วยปืนยิงตะปู เขาได้รับข้อความจาก Evelyn ในเครื่องตอบรับโทรศัพท์และหยุดการสนทนา
เบตแมนไปทานอาหารกลางวันกับคิมบัลล์ ซึ่งเปิดเผยว่าเพื่อนร่วมงานของเบตแมนอ้างว่าไปทานอาหารค่ำกับเขาในวันที่อัลเลนหายตัวไป ทำให้เบตแมนมีข้อแก้ตัวที่ชัดเจนขึ้น คิมบัลล์กล่าวว่าความคิดที่ว่าเพื่อนคนหนึ่งของอัลเลนฆ่าเขาโดยไม่มีเหตุผลนั้นไม่น่าเชื่อ เบตแมนยิ้มตอบอย่างประหม่า เบตแมนพาคริสตี้ไปที่อพาร์ตเมนต์ของอัลเลน ซึ่งเขาวางยาอลิซาเบธ คนรู้จักของเขา ก่อนจะมีเซ็กส์กับเธอและคริสตี้ เมื่อเบตแมนฆ่าอลิซาเบธ คริสตี้ก็วิ่งหนีและพบศพหลายศพขณะที่เธอกำลังหาทางออก เบตแมนไล่ตามเธอและขว้างเลื่อยไฟฟ้าที่กำลังทำงานใส่เธอขณะที่เธอวิ่งหนีลงบันได ไม่นานหลังจากนั้น เบตแมนก็ถอนหมั้นกับเอเวลิน
ขณะที่เบทแมนใช้ตู้ ATMเขาก็เห็นแมว ตู้ ATM จึงแสดงข้อความว่า ” Feed Me A Stray Cat ” เบทแมนเตรียมจะยิงแมว แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาเขา เขาจึงยิงแมวแทน ตำรวจจึงไล่ตาม แต่เบทแมนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งและระเบิดรถสายตรวจ ทำให้ตำรวจนายอื่นๆ เสียชีวิต เบทแมนฆ่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและภารโรง ก่อนจะหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักงาน เขาโทรหาทนายความชื่อฮาโรลด์ คาร์เนส และฝากข้อความเสียงไว้อย่างตื่นตระหนก โดยสารภาพว่าเขาได้ฆ่าคนทั้งหมด เช้าวันรุ่งขึ้น เบทแมนไปที่อพาร์ตเมนต์ของอัลเลนเพื่อทำความสะอาด แต่พบว่าไม่มีคนอยู่และประกาศขาย นายหน้าขายบ้านบอกเบทแมนอย่างเป็นปริศนาว่าอพาร์ตเมนต์นั้นไม่ใช่ของอัลเลน ก่อนจะขอให้เขาออกไปและอย่ากลับมาอีก
เบตแมนซึ่งอยู่ในอาการตื่นตระหนกโทรหาฌองแล้วไปพบกับเพื่อนร่วมงานเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ขณะเดียวกันฌองพบภาพวาดรายละเอียดเกี่ยวกับการฆาตกรรมและการทำร้ายร่างกายในสมุดบันทึกในสำนักงานของเบตแมน เบตแมนเห็นคาร์เนสและพูดถึงข้อความฝากเสียงของเขา คาร์เนสเข้าใจผิดคิดว่าเบตแมนเป็นคนอื่นและหัวเราะเยาะคำสารภาพของเขาว่าเป็นเรื่องตลก เบตแมนชี้แจงว่าเขาเป็นใครและสารภาพอีกครั้งถึงการฆาตกรรม แต่คาร์เนสบอกว่าเขาเพิ่งไปทานอาหารค่ำกับอัลเลนที่ลอนดอน ทำให้คำกล่าวอ้างของเบตแมนเป็นไปไม่ได้ เบตแมนที่เหนื่อยล้าและไม่แน่ใจกลับไปหาเพื่อนๆ พวกเขาคุยกันเรื่องการจองโต๊ะรับประทานอาหารและครุ่นคิดว่าโรนัลด์ เรแกนเป็นชายชราที่ไม่มีอันตรายหรือเป็นโรคจิตที่ซ่อนตัวอยู่ เบตแมนไม่แน่ใจว่าอาชญากรรมของเขาเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงจินตนาการ จึงตระหนักได้ว่าเขาจะไม่มีวันได้รับการลงโทษที่เขาต้องการ เบตแมนเล่าว่าเขาเจ็บปวดตลอดเวลา เขาหวังว่าความเจ็บปวดที่เขาทำนั้นจะเกิดขึ้นกับคนอื่น และการสารภาพของเขาไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
ดูหนังหน้ามึน ✨(8/10)
หนังระทึกขวัญ ที่โคตรหดหู่และโรคจิตสุดๆ เรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มรูปงามผู้แฝงความวิปริตไว้ภายใน ยึดติดกับความภาคภูมิใจในชีวิตที่ดูดีมีระดับและสนองความต้องการของตัวเองด้วยการฆ่าคน นี่เป็นหนังเก่าในยุค 2000 ที่จิกกัดค่านิยมทางสังคมได้ถึงพริกถึงขิงจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมาดูในปี 2021 เราก็ยังเจอการชิงดีชิงเด่นทางสังคม การอวดร่ำอวดรวยผ่านโซเชี่ยล ซึ่งไม่ต่างอะไรกับในหนังเรื่องนี้ที่อยู่ในยุค 80-90 เลย ซึ่งในหนังตัวเอกก็มักจะเป็นคนที่ยึดติดกับการมีหน้ามีตา อวดร่ำอวดรวย ใครก็อย่าดีอย่าเด่นกว่าตัวเองเป็นอันขาด เมื่อมีคนที่เด่นกว่า มีหน้ามีตากว่า มีนามบัตรที่ดูดีกว่า ห้องที่ทำเลดีกว่า นั่นทำให้ตัวเอกอย่าง แพทริค เบทแมน ได้เริ่มระเบิดความเครียดความกดดันออกมาด้วยการฆ่าฟันอย่างเลือดเย็น
แพทริค เบทแมน รับบทโดย คริสเตียน เบลล์ ที่ตีบทหนุ่มเก็บกด โรคจิต ได้แตกกระจุย เป็นหนุ่มหน้าหล่อที่ดูโรคจิตและวิปริตมาก แค่เค้าทำหน้านิ่งๆ ก็ดูน่ากลัวและดูไม่ปกติ โดยยามที่เล่นเป็นคนปกติในตอนกลางวันก็ดูปกติดีไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร แต่ในยามที่เล่นเป็นคนโรคจิต วิปริตก็ดูน่ากลัวสุดๆ เขาทำให้บทโรคจิตของฆาตกรทวีความโรคจิตเข้าไปอีกด้วยการใช้อินเนอร์กับบทอย่างเต็มที่ เป็นการแสดงที่ติดตามาก
โดยหนังเรื่องนี้มีฉากที่มีเลือดและหดหู่หลายฉาก หากใครที่เห็นเลือดหรือฉากหดหู่ไม่ได้ ควรผ่านหนังเรื่องนี้ไปก่อน โดยหนังเรื่องนี้ก็จบได้แบบอิหยังวะพอสมควร โดยเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่ตั้งใจทำให้มันจบแบบนี้ โดยคนดูอย่างเราก็สามารถเอามาถกเถียงกัน คิดต่อยอดไปได้อีก ซึ่งฉากที่ติดตาและน่าหดหู่ใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นฉากเซ็กและถือเลื่อยไล่ฆ่าแหละนะ พอและๆๆๆ เดี๋ยวจะสปอยไปมากกว่านี้ เอาเป็นว่าสำหรับใครที่เป็นคอหนังสายโหดที่ชอบดูฆาตกรโรคจิตฆ่าคน แนะนำว่าไม่ควรพลาด
Man On Film ✨(6.5/10)
ฆาตกรต่อเนื่องหรือแค่เหยื่อของบริโภคนิยม อะไรคือ ‘ตอนจบ’ ที่แท้จริงของหนังเรื่องนี้กันแน่ (เนื้อหาบทความมี spoiled นะคะ) แพทริค บีตแมน (คริสเตียน เบล) นักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อผู้ประสบความสำเร็จและได้รับการเชิดหน้าชูตาในแวดวง เขาหมกมุ่นอยู่กับการดูแลตัวเอง ใส่ใจแค่ความหรูหราเรียบง่ายแบบที่คนอื่นไม่มีวันไล่ทัน พร้อมกันนั้นก็เหยียดหยามคนอื่นอยู่เสมอ จนกระทั่งเมื่อเขาได้รู้จักกับ พอล อัลเลน (จาเร็ด เลโต) นักธุรกิจหนุ่มหล่ออีกคนที่มีรสนิยมเหนือชั้นกว่าเขา แพทริค -ซึ่งรู้สึกพ่ายแพ้- จึงเก็บงำความเคียดแค้นไปลงกับโสเภณีที่เขาซื้อมานอนด้วย ก่อนจะหาทางระบายความเครียดด้วยการไล่ฆ่าหญิงสาวเหล่านั้น และลงเอยด้วยการลวงพอล อัลเลนมาตายในบ้านพักหรูของเขา
คำถามคือ แพทริคฆ่าพอลจริงหรือไม่ หรือทั้งหมดนั้นเป็นเพียง ‘จินตนาการ’ ที่เกิดขึ้นในหัวของแพทริคเท่านั้น ในวาระที่ American Psycho (2000) เข้ามาฉายในเน็ตฟลิกซ์ เราจึงอยากเล่าถึงหนังเรื่องนี้ โดยมันเป็นหนังยาวลำดับที่สองของ แม่รี ฮาร์รอน ผู้กำกับหญิงที่ดัดแปลงเนื้อเรื่องมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ เบร็ต เอสตัน เอลลิส และแม้ฉากหน้ามันจะเคลือบด้วยการเป็นหนังว่าด้วยฆาตกรโรคจิตที่ไล่สังหารโลเภณีหรือคนข้างถนน แต่แท้จริงแล้ว เนื้อเรื่องของมันซับซ้อนกว่านั้นมากเพราะมันตั้งใจวิพากษ์วัฒนธรรมบริโภคนิยมผ่านตัวละครอย่างแพทริคกับเพื่อน หากแต่ไม่ว่าจะเพราะการกำกับหรือเพราะการเล่าเรื่อง ทำให้ผู้คนส่วนมากจับจ้องไปยังเรื่องที่ว่า ‘แพทริคเป็นฆาตกรจริงหรือไม่’ มากกว่าจะตั้งคำถามว่า ‘แพทริคเป็นอะไรกันแน่’ อันเป็นจุดประสงค์หลักของหนัง
จนในเวลาต่อมา ความเซอร์แตกระเบิดระเบ้อเช่นนี้ทำให้ American Psycho กลายเป็นหนังคัลต์แห่งยุคอีกเรื่องในที่สุด ก่อนหน้าจะมาเป็นหนังยาวเต็มเรื่องขนาดนี้ กระบวนการสร้างของมันก็ชวนเวียนหัวพอสมควร เพราะหลังจากสตูดิโอได้ลิขสิทธิ์เรื่องมาอย่างถูกต้องแล้ว พวกเขาก็สาละวนกับการควานหาตัวผู้กำกับซึ่งตอนแรกหวยตกอยู่ที่พระบิดาแห่งหนังเฮอร์เรอร์ เดวิด โครเนนเบิร์ก แต่จนแล้วจนรอดก็มาลงเอยที่ฮาร์รอนในที่สุด ส่วนนักแสดงนำ ตอนแรก จอห์นนี เด็ปป์ สนอกสนใจอยากมารับบทอย่างมากแต่ดีลนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะฮาร์รอนไปแคสต์เอา คริสเตียน เบล และบอกว่าเจ้าหนุ่มเวลส์นี่แหละที่จะมาเป็น ‘อเมริกัน ไซโค’ ของชาวเรา
สตูดิโอไลออนส์เกตแย้งว่า เปลี่ยนเป็น เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน หรือไม่ก็ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ แทนจะได้ไหมเพราะมีชื่อเสียงในอเมริกากว่ามาก ฟากฮาร์รอนบอกว่า ลีโอในช่วงนั้นยัง ‘ดูเด็ก’ เกินกว่าจะมาเป็นนักธุรกิจ แถมเพิ่งดังระเบิดจากบทหล่อใสใน Titanic (1997) และมีวัยรุ่นตามเป็นพรวน ไม่น่าเกมาะกับบทแพทริค ยังไม่ทันที่ไลออนส์เกตจะได้เถียง ฮาร์รอนบอก คริสเตียน เบลเพิ่งตอบตกลงเล่นบทนี้แบบแทบไม่มีข้อแม้ใดๆ เลยเนี่ย จะเอาไม่เอา สรุปไลออนส์เกตเลยลองเสี่ยงดวงกับเจ้าหนุ่มนักแสดงอังกฤษที่จะมาแบกหนังทั้งเรื่องดู …ซึ่งปรากฏว่าคุ้มค่าอย่างที่สุด!! (ส่วนในปีเดียวกันนั้น ลีโอไปรับเล่นบทที่ดิบและโตกว่าเคยอย่าง The Beach ของน้า แดนนี บอยล์)
ก่อนนี้ คริสเตียน เบลรับแสดงหนังโรแมนติกและส่วนมากก็เป็นบทผู้ชายอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ บทแพทริค บีตแมนจึงเป็นบทที่ท้าทายและเดือดมากที่สุดบทหนึ่งในช่วงวัยนั้น และทั้งที่ออกปากว่าเกลียดการออกกำลังกาย เหม็นการเข้าโรงยิมเป็นที่สุด แต่เพื่อจะรับบทเป็นชายหนุ่มหลงตัวเอง ตื่มาทุกเช้าต้องออกกำลังกายและประทินผิวอย่างหนัก คริสเตียนเลยจำต้องงดเบียร์ (“ผมชอบดื่มเบียร์จะตายไป นี่ผมเป็นคนอังกฤษนะ!”) และออกกำลังกายอย่างหนักวันละสามชั่วโมงเพื่อรีดไขมันจนเหลือแต่กล้ามเนื้อลีนๆ แถมยังใช้ชีวิตช่วงเช้าแบบเดียวกับแพทริคทุกระเบียดนิ้ว รวมถึงการพอกหน้า ดูแลตัวเองแบบสุดขีดนั่นก็ด้วย
เขาสร้างบุคลิก ‘เป็นมิตรแบบปลอมๆ’ ของแพทริคจากการเห็น ทอม ครูซ ออกรายการสัมภาษณ์ Late Night with David Letterman และพบว่าครูซร่าเริงสุดขีดแต่แววตากลับ “ว่างเปล่าอย่างยิ่ง” และเพื่อจะเป็น อเมริกัน ไซโค อย่างสมบูรณ์แบบ เขาเลยใช้ชีวิตด้วยการพูดสำเนียงอเมริกันตลอดทั้งการถ่ายทำไม่ว่าจะในหน้าฉากหรือหลังฉาก จนเมื่อถ่ายทำจบแล้วนั่นแหละคริสเตียนถึงกลับมาใช้สำเนียงเวลส์แบบเดิม ทำเอาทีมงานอ้าปากค้างว่านี่นายเป็นคนอังกฤษเหรอ กูนึกว่าเป็นอเมริกันมาตลอดเรยนิ
อย่างไรก็ดี ความที่หนังเต็มไปด้วยฉากแพทริคถือเลื่อยไฟฟ้าไล่หั่นคนเป็นสองท่อนหรือเอาขวานจามหัวชาวบ้าน ตลอดจนการโปรโมตของสตูดิโอเองทำให้หลายคนเข้าใจไปว่ามันคือหนังธริลเลอร์ของฆาตกรต่อเนื่อง -ซึ่งก็ถูกส่วนหนึ่ง- แต่แท้จริงแล้วมันยังว่าด้วยคนที่เป็นเหยื่อในระบบบริโภคนิยมอย่างเต็มขั้น อันสะท้อนได้จากที่แพทริคตื่นมาดูแลตัวเองอย่างพิถีพิถัน “ผมอายุ 27 ปี เชื่อในเรื่องการดูแลตัวเอง การคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างเข้มงวด ทุกเช้า หากหน้าผมบวมๆ ผมจะประคบน้ำแข็งขณะที่ออกกำลังกายหน้าท้อง ตอนนี้ผมทำได้ 1,000 ครั้งแล้ว พอเอาน้ำแข็งออกจะเอาคลีนเซอร์บริสุทธิ์ทาหน้าซ้ำ ตอนอาบน้ำ ผมใช้เจลล้างหน้าสูตรเหลวและใช้สบูน้ำผึ้งอัลมอนด์ขัดตัว ใช้เจลขัดหน้า แล้วจากนั้นจึงใช้มาร์กส์หน้าสมุนไพรพอกลงไปตอนเตรียมทำกิจวัตรประจำวันอย่างอื่น และผมจะใช้ครีมโกนหนวดแบบปราศจากแอลกอฮอล -หรือมีนิดหน่อย- ในการโกนเสมอ เพราะแอลกอฮอลทำให้ผิวแห้งและทำให้คุณดูแก่ แล้วค่อยทามอยเจอไรเซอร์ แล้วครีมต้านริ้วรอยรอบดวงตากับโลชั่นเพื่อความชุ่มชื้นของผิวหน้าอีกครั้ง”
ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามากๆ และแทบไม่ถูกพูดถึงเลยคือการที่ตัวละคร ‘เรียกชื่อกันผิด’ แทบตลอดเวลา ซึ่งปรากฏให้เห็นตั้งแต่ฉากแรกของหนังเมื่อกล้องแพนไปยังมื้ออาหารหรูหราในภัตตาคารของแพทริคกับเพื่อนไฮโซ พวกเขาเถียงกันว่าคนที่นั่งด้านหลังคือพอล อัลเลนใช่หรือไม่ แต่แพทริคแย้งว่าไม่ใช่ และการจำชื่อผิดๆ ถูกๆ นี้ดำเนินไปตลอดเวลาจนแทบจะเป็นปกติราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจจะจำผู้คนไว้แม้แต่คนเดียว แพทริคเป็นหนึ่งในผู้คนที่ล่องลอยอยู่ในเมืองและเป็นเหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่เป็นนักธุรกิจชนชั้นกลางค่อนไปทางบนอย่างเขา ใส่สูทวาเลนติโน่ สวมแว่นยี่ห้อเดียวกัน มีรสนิยมคล้ายๆ กัน จองภัตตาคารหรูแห่งเดียวกันและเกลียดสิ่งที่ตัวเองทำเหมือนๆ กัน ดังจะเห็นได้จากฉากที่แพทริคคุยกับคนรัก (ถ้าจะเรียกอย่างนั้น) ไฮโซอย่างหัวเสียว่า ที่เขาไม่ลาออกจากงานที่เกลียดนั้นก็เพราะ “ผมอยากเข้ากับคนอื่นๆ เขาได้” ซึ่งหมายความว่าอยากเป็นเหมือนที่คนอื่นๆ เป็นนั่นเอง
พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับการใช้ชีวิตหรูหราและสนใจเรื่องที่ดู ‘ไกลตัว’ แต่ว่าฉลาดและล้ำลึก เช่นคุยเรื่องสงครามในศรีลังกาทั้งที่ไม่ได้สนใจแม้แต่นิด หรือพูดเรื่องที่ดูคูลๆ เพื่อประดับประดาออร่าของตัวเอง ตลอดจนทำหน้าที่ราวกับนักบุญมาโปรดสัตว์ด้วยการพูดเรื่องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ชนชั้นล่างที่ด้อยกว่าพวกเขา ไปพร้อมกันนั้น คนอย่างแพทริค -ที่เมื่อชั่วโมงก่อนยังเสนอจะสร้างบ้านให้คนเร่ร่อน- กลับออกมากระทืบคนข้างถนนปางตายแค่เพราะเครียดกับชีวิต มันจึงเผยให้เห็นความลักลั่นย้อนแย้งของผู้คนชนชั้นกลางเช่นเขา
หากแต่ภายหลังการปรากฏตัวของพอล อัลเลนผ่านฉากนามบัตรที่มีรสนิยมเหนือกว่าของแพทริค เขาเริ่มมีอาการประสาทหลอนและเริ่มคิดว่าหน้ากากความเป็นคนดีของเขานั้นกำลังเริ่มลอกร่อน และหนักกว่านั้น เมื่อไปพบตัวจริงของอัลเลน อัลเลนกลับเรียกชื่อเขาผิดเป็น “มาร์คัส” ซึ่งยิ่งทำให้แพทริคสติแทบหลุดเพราะรู้สึกว่า คนอย่างเขาไม่ได้สลักสำคัญอะไรในชีวิตคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะลงเอยด้วยการสังหารอัลเลนในที่สุด จนเปิดทางให้นักสืบ โดนัลด์ (วิลเลียม ดาโฟ) เข้ามาสืบคดีนี้โดยโดนัลด์ยืนยันว่า พอล อัลเลนหายตัวไปจริงๆ ความสติแตกทำให้แพทริคไล่สังหารคนไปเรื่อยๆ หากแต่ฉากท้ายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นจริงไหม ทำไมไม่มีศพโสเภณีในตู้เก็บของ หรือทำไมทนายของพอล อัลเลนจึงบอกว่าเพิ่งได้เจออัลเลนเมื่อสิบวันก่อน
นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผกก.ต้องการสื่อ ฮาร์รอนบอกว่า “หนึ่งในสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นความผิดของฉันคือการที่คนดูคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นแค่ในหัวของแพทริค ซึ่งฉันไม่ได้มีเจตนาให้คิดอย่างนั้นเลย ที่ตั้งใจคือแค่อยากให้มันออกมาดูกำกวมแบบที่ในหนังสือเขียนไว้ และที่เป็นความผิดมหันต์ที่สุดคือฉากท้ายของเรื่องที่ฉันคิดว่าฉันเน้นน้ำหนักผิดประเด็นที่ต้องการสื่อไปมาก อันที่จริง ฉันควรจะทำให้หนังมันจบแบบปลายเปิดมากกว่านี้ เพราะการจบแบบที่เห็นในหนังมันทำให้ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นแค่ในหัวของแพทริค ซึ่งเท่าที่ฉันคิดไว้ -มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย”
คำตอบนี้ของฮาร์รอนทำให้หลายคนหันมาวิเคราะห์ฉากจบของหนังเสียใหม่ ก็ใช่ว่าแพทริคไม่เจอศพคนในตู้เก็บของ แต่เป็นไปได้ไหมที่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่กำลังขายห้องนั้นอยู่จัดแจง ‘ทำลายหลักฐาน’ ไปเรียบร้อยแล้วเพราะอยากขายมันให้ได้ไม่ว่าจะแลกด้วยวิธีการใด จนเธอออกปากบอกแพทริคว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” และ “อย่ากลับมาอีกนะ” รวมถึงการปรากฏตัวของนักสืบโดนัลด์ ที่ช่วยยืนยันกับคนดูว่าพอล อัลเลนหายตัวไปจริงๆ แต่มาหักมุมเอาตอนท้ายที่ทนายของอัลเลนยืนยันว่าเขาเพิ่งไปเจอชายหนุ่มมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้น จึงไม่มีทางเด็ดขาดที่อัลเลนจะตายเพราะถูกแพทริคฆ่า ฉากนี้ทำให้หลายคนคิดไปว่าหรือจริงๆ เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นแค่ในหัวของแพทริค
ย้อนกลับไปยังการ “เรียกชื่อผิด” ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้ไหมที่จริงๆ แล้ว ทนายของอัลเลนอาจจะจำอัลเลนผิดไปเป็นคนอื่นด้วยเหมือนกัน เพราะทั้งเรื่อง แทบไม่มีใครในวงการนี้เรียกชื่อกันถูกเลย (แม้จะแจกนามบัตรกันแทบทุกครั้งที่เจอหน้า) และต่อให้พอล อัลเลนตายไปแล้ว แต่ก็เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ รอบตัว คือไม่มีใครใส่ใจหรือจดจำมันทั้งนั้น ซึ่งสะท้อนผ่านแววตาแตกสลายของแพทริคในช่วงท้ายเรื่อง เมื่อเขาเข้าใจแล้วว่าเขาไร้แก่นสารและไม่ต่างอะไรกับผู้คนรอบตัวเลยแม้แต่นิดเดียว